นายหลิวซู่เทียน (劉樹添) นายกสมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทย สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยสองมือเปล่า ด้วยอุดมการณ์ “สู้ไม่ถอย” ก่อร่างสร้างตัวจากไต้หวันสู่อินโดนีเซียไปจนถึงไทย ก้าวไปทีละก้าวๆ อย่างมั่นคง สร้างอาณาจักรธุรกิจของตนขึ้น ในฐานะนายกสมาคมฯ เขาได้ระดมพลังนักธุรกิจไต้หวัน ช่วยเหลือนักธุรกิจไต้หวันพัฒนาขยายกิจการของตน ขณะเดียวกันก็แสดงบทบาทในฐานะสะพานเชื่อมแห่งปฏิสัมพันธ์ระหว่างไต้หวันกับไทย ทุ่มเทอย่างเต็มที่ให้กับนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาลไต้หวัน
การประชุมคณะกรรมการบริหารและคณะกรรมการตรวจสอบสมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งเอเชียได้จัดขึ้นที่นครไทจง ผู้นำธุรกิจและผู้นำชาวไต้หวันจากประเทศไทยภายใต้การนำคณะของนายหลิวซู่เทียนได้เข้าร่วมการประชุม และเสนอแนะแนวความคิดเห็นต่อนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาลไว้อย่างน่าฟังทีเดียว
คุณหลิวซู่เทียน บอกว่า เพื่อประสานกับนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาล สมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทยได้จัดทำบันทึกความเข้าใจ “อาเซียน+ไต้หวัน” กับหอการค้าระหว่างประเทศและการลงทุนอาเซียน โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องที่จะร่วมมือกันอย่างเป็นระบบในการส่งเสริมการค้าและการลงทุนในทุกๆ ด้านกับประเทศสมาชิกอาเซียนทุกประเทศ เขาบอกว่า ความร่วมมือระหว่างสองฝ่ายจะประกอบไปด้วย การแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารด้านธุรกิจและการลงทุน ช่วยเหลือแนะนำผู้ประกอบการที่มีศักยภาพให้แก่อีกฝ่ายหนึ่ง ประชาสัมพันธ์ข่าวสารธุรกิจอาเซียนกับไต้หวัน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อการเข้าสู่ตลาดอาเซียนของนักธุรกิจไต้หวัน ทำให้ได้รับข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการค้าและการลงทุน ตลอดจนโอกาสทางการค้าได้อย่างรวดเร็วด้วย
ภายใต้การรวมตัวเป็นตลาดร่วมของอาเซียน “ASEAN Economic Community” (AEC) คุณหลิวซู่เทียน ได้แนะนำว่า ควรจะรวบรวมข้อมูลของสมาคมนักธุรกิจไต้หวันในประเทศต่างๆ แล้วจัดพิมพ์รายชื่อผู้ประกอบการทั้งหมดเป็นเล่มพิเศษขึ้น เพื่อให้นักธุรกิจไต้หวันในประเทศต่างๆ สามารถที่จะใช้ข้อมูลข่าวสารร่วมกัน และสร้างโอกาสทางธุรกิจได้ด้วย
นอกจากนี้ คุณหลิวซู่เทียนยังบอกว่า คุณสวี่เป่าลู่ (許寶祿) นักธุรกิจไต้หวันในไทยได้บริจาคที่ดินในกรุงเทพมหานครจำนวน 16,500 ตร.ม. เพื่อใช้เป็นที่ตั้งสำนักงานสมาคมฯ ซึ่งสมาคมฯ ได้วางแผนให้ประสานกับนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาล โดยการเปิดเป็นศูนย์ฝึกอบรมบุคลากรด้านเทคโนโลยี ศูนย์ประชุมและศูนย์จัดงานนิทรรศการต่างๆ ของมหาวิทยาลัยในไต้หวันที่กรุงเทพมหานคร ตลอดจนเป็นสถานที่ติดต่อแลกเปลี่ยนระหว่างนักธุรกิจไต้หวัน อำนวยความสะดวกให้แก่นักธุรกิจไต้หวันในไทย ตลอดจนเป็นแหล่งข้อมูลอันสมบูรณ์ให้แก่นักธุรกิจไต้หวันรุ่นต่อๆ ไปที่ต้องการไปประกอบธุรกิจยังประเทศไทย
คุณหลิวซู่เทียนได้ให้สัมภาษณ์หลังการประชุมเสร็จสิ้นลงว่า ในอดีต นักธุรกิจไต้หวันต้องต่อสู้ในลักษณะ “ข้ามาคนเดียว” ต้องเสียเวลาและต้นทุนมากมาย แต่ในปัจจุบันมีการถ่ายทอดประสบการณ์จากนักธุรกิจไต้หวัน และมีพลังที่เกิดจาการรวมตัวกันเป็นองค์กร ตลอดจนการผลักดันนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาล ทำให้ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่สุดที่จะบุกเข้าสู่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
เขาได้ยกตัวอย่างประเทศไทยว่า ตอนนี้ไทยกำลังก่อสร้างทางหลวงอีกถึง 9 เส้นทาง และยังกำลังก่อสร้างเส้นทางรถไฟสายทรานส์เอเชีย (Trans-Asian Railway, TAR) ตลอดจนเส้นทางรถไฟความเร็วสูงก็กำลังดำเนินการก่อสร้างอยู่ อุปสงค์ภายในขยายตัวต่อเนื่อง ทำให้แรงขับเคลื่อนในอนาคตเข้มแข็งยิ่งขึ้น คุณหลิวซู่เทียนบอกว่า จุดแข็งของไทยคืออุตสาหกรรมรถยนต์ และยังมีโอกาสทางธุรกิจอีกมากมายมหาศาลทีเดียว
คุณหลิวซู่เทียน ปิ๊งไอเดียหลากหลาย
คุณหลิวซู่เทียนได้แนะนำให้รัฐบาลไต้หวันควรใช้มาตรการยกเว้นการตรวจลงตราหรือ free visa ให้แก่ประเทศอาเซียนอย่างเหมาะสม และควรจัดตั้งคณะภาษาอาเซียนขึ้นในมหาวิทยาลัย เสริมการอบรมบ่มเพาะบุคลากรที่เกี่ยวข้องกับอาเซียนโดยตรง ตลอดจนจัดตั้งสำนักงานนโยบายมุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่ในประเทศอาเซียน โดยให้ผู้อำนวยการสำนักงานสลับสับเปลี่ยนกันทุก 3 เดือน เพื่อให้มีความเข้าใจต่อสภาพการณ์ของแต่ละประเทศได้ดียิ่งขึ้น
นอกจากนี้ คุณหลิวซู่เทียนยังได้แนะนำโดยยกตัวอย่างวิธีการที่ตนใช้ในบริษัทว่า แรงงานต่างชาติหรือชาวต่างชาติที่กลับไปยังประเทศของตนแล้ว ก็ควรเป็นบุคลากรที่นักธุรกิจไต้หวันสามารถนำมาใช้ประโยชน์ในกิจการของตนได้ เขาระบุว่า การหาพนักงานที่รู้ทั้งภาษาจีนกับภาษาไทยในไทยไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะฉะนั้น เขาจะบอกให้พนักงานของเขาถือป้ายที่สนามบิน รับสมัครแรงงานไทยมีฝีมือที่เพิ่งเดินทางกลับจากไต้หวัน ซึ่งก็ได้ผลน่าพอใจทีเดียว เขาบอกว่า ปัจจุบันในแต่ละปีจะมีแรงงานไทยมีฝีมือหลายแสนคนเดินทางกลับบ้านเกิด ดังนั้น รัฐบาลและนักธุรกิจไต้หวันจึงควรอาศัยบุคลากรช่างเทคนิคจำนวนมหาศาลเหล่านี้ให้เป็นประโยชน์ให้มากที่สุด
คุณหลิวซู่เทียนยังได้ย้ำกับผู้สื่อข่าวของเราอีกว่า รัฐบาลควรจะมีการศึกษาและวิเคราะห์บรรยากาศการลงทุน (ซึ่งรวมถึงสิทธิประโยชน์ด้านภาษี บรรยากาศการเมือง เศรษฐกิจ คุณภาพแรงงานและต้นทุน ตลอดจนด้านสาธารณูปโภคพื้นฐาน) ของประเทศต่างๆ ในอาเซียน เพื่อเป็นข้อมูลให้แก่นักธุรกิจไต้หวัน ตลอดจนควรมีมาตรการส่งเสริมให้นักธุรกิจไต้หวันนำหุ้นของตนเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ในไต้หวัน เช่น สิทธิลดหย่อนภาษี ตลอดจนเงินช่วยเหลือเพื่อเตรียมการเข้าสู่ตลาด เป็นต้น รวมทั้งเสริมปฏิสัมพันธ์และการทำความเข้าใจกับกลุ่มองค์กรต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับนักธุรกิจไต้หวัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มาตรการและนโยบายสิทธิพิเศษด้านภาษี สิ่งแวดล้อมและหลักประกันในเรื่องของความปลอดภัยในประเทศที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการทูตกับไต้หวัน
สร้างตัวด้วยสองมือเปล่า
คุณหลิวซู่เทียน เป็นชาวเมืองจางฮั่ว ทางภาคกลางของไต้หวัน กำพร้าบิดาตั้งแต่วัยเด็ก เติบโตขึ้นโดยการอบรมสั่งสอนของคุณแม่ ทำให้เป็นผู้มีอุปนิสัยซื่อสัตย์ ติดดิน และปลูกฝังให้เขามีความทรหดอดทนก้าวสู่วงการธุรกิจในทุกวันนี้
เนื่องจากครอบครัวยากจน ในวัยเด็กคุณหลิวซู่เทียนต้องประสบกับชะตากรรมแห่งความยากลำบากในการเรียน แต่ก็เป็นการฝึกฝนหล่อหลอมให้เขามีจิตใจเข้มแข็งยืนหยัดต่อสู้กับความยากลำบากด้วยความมุ่งมั่น นอกจากจะต้องช่วยงานบ้านและงานในทุ่งนาแล้ว คุณหลิวซู่เทียนต้องเดินเป็นชั่วโมงเพื่อต่อรถไปโรงเรียน เป็นแบบนี้จนกระทั่งจบการศึกษาระดับมัธยมต้นและปลาย เมื่อพ้นการเกณฑ์ทหารแล้ว คุณหลิวซู่เทียนก็จากบ้านเกิดไปใช้ชีวิตในกรุงไทเป เป็นพนักงานฝ่ายการตลาดของบริษัทเครื่องครัวสเตนเลสแห่งหนึ่ง
เขาย้อนความหลังว่า ตอนนั้นปี 1969 เงินเดือนเพียง 1,000 เหรียญไต้หวัน ส่งของจากซีเหมินติง (西門町) ไปซงซัน (松山) จะได้รับค่าจ้าง 50 เหรียญไต้หวัน และคุณหลิวซู่เทียนก็เริ่มใช้ชีวิตในงานอาชีพของตนมาตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา และด้วยเหตุที่เขาทำงานด้วยความตั้งใจ ประกอบกับความเป็นคนหัวไวของเขา ทำให้เขากลายเป็นซุปเปอร์เซลล์ที่มียอดขายสูงสุดในช่วงเวลาสั้นๆ 3 ปี จึงถูกเลื่อนขึ้นไปเป็นผู้จัดการ คุณหลิวซู่เทียนเล่าให้ฟังว่า เขาทำงานในหน้าที่ของเขาเสมือนเป็นธุรกิจของตนเอง คนอื่นทำงาน 8 ชม. เขาต้องทำงาน 16 ชม. และไม่เคยคิดว่าการทำงานเป็นเพียงแค่การหาเงินเลี้ยงชีพหรือทำให้ผ่านๆ ไปวันๆ เท่านั้น
พระผู้เป็นเจ้าจะให้รางวัลแก่ผู้ขยันเท่านั้น การต่อสู้อย่างทรหดอดทน ปากกัดตีนถีบของคุณหลิวซู่เทียน ในที่สุดเขาก็มีกิจการเป็นของตนเอง ปีค.ศ.1975 คุณหลิวซู่เทียนใช้เงินทุน 15,000 เหรียญไต้หวัน เปิดบริษัทอุตสาหกรรมเฟิสต์ สเตนเลส (第一不銹鋼工業公司) ขึ้น ยกฐานะเป็น “เถ้าแก่” สมใจปรารถนา เขาประกอบธุรกิจค้าขายเครื่องครัวสเตนเลสต่อไป โดยยึดหลักคุณภาพเป็นอันดับ 1 และบริการต้องมาเป็นอันดับ 1 ทำให้ธุรกิจของเขาเจริญรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ
ธุรกิจตลาดภายในประเทศเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น คุณหลิวซู่เทียนจึงเริ่มขยายไปสู่การส่งออก และเพิ่มทุนขยายโรงงาน เพิ่มเครื่องจักร และวิจัยพัฒนาสินค้าผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมาอยู่ไม่ขาดสาย ทำให้กิจการขยายตัวไปอย่างรวดเร็ว ทำยอดประกอบการได้ถึงปีละ 20 ล้านเหรียญไต้หวัน ต่อมาในปี 1981 เขาจึงได้ก่อตั้งบริษัท First Enamel Co., Ltd. (第一琺瑯工業公司) ก้าวสู่ศักราชใหม่และ 3 ปีต่อมา คุณหลิวซู่เทียนก็ได้ทุ่มทุนสร้างโรงงานใหม่และสั่งซื้อเตาเผารังสีและเครื่องจักรอัตโนมัติจากยุโรป เสริมคุณภาพให้แก่สินค้า สร้างแบรนด์สินค้าของตนเองขยายไปสู่ตลาดต่างประเทศ
ปี 1985 คุณหลิวซู่เทียนได้รับคัดเลือกให้รับรางวัลผู้ประกอบการดีเด่นของไต้หวัน สาธารณรัฐจีน ครั้งที่ 8 ถือเป็นการรับรองมาตรฐานในการประกอบธุรกิจของเขา ปีต่อมาคุณหลิวซู่เทียนเข้าไปลงทุนเปิดโรงงานเครื่องเคลือบในประเทศอินโดนีเซีย แต่ด้วยเหตุที่ธุรกิจนี้ได้รับผลกำไรน้อยลงเป็นลำดับ ไม่อาจประคองตัวอยู่ต่อไปได้ ต่อมาปี 1989 คุณหลิวซู่เทียน จึงไปลงทุนเปิดบริษัท Thai First Enamel Co., Ltd. ในไทยด้วยเงินลงทุน 150 ล้านเหรียญไต้หวัน ปักรากเครือข่ายธุรกิจในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ช่วงแรกที่ลงทุนในไทย ด้วยเหตุที่เป็นการลงทุนด้วยทุนทรัพย์ของตนเอง ไม่มีใครรู้จัก พูดภาษาไทยก็ไม่ได้ ทำให้คุณหลิวซู่เทียนต้องถูกกดดันจากการบริหารบริษัทอย่างรุนแรง ใช้เวลานานกว่า 5 ปี สภาพการณ์ต่างๆ จึงเริ่มดีขึ้น และเริ่มผลิดอกออกผล
ใส่ใจงานการกุศลเพื่อส่วนรวม
เมื่อคุณหลิวซู่เทียนประสบความสำเร็จในชีวิตการงานแล้ว ก็ไม่ลืมที่จะตอบแทนสังคม โดยได้เข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมนักธุรกิจไต้หวันและสโมสรโรตารีอย่างกระตือรือร้นและยังได้ก่อตั้งสมาคมชาวเมืองจางฮั่วแห่งประเทศไทย เพื่อสานสัมพันธ์ระหว่างพี่น้องจากบ้านเกิดเดียวกัน และให้ความช่วยเหลือนักธุรกิจไต้หวันรุ่นหลัง เดือนพ.ค. ปีที่แล้ว เขาได้รับเลือกตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทย อุทิศตนให้แก่นักธุรกิจจากบ้านเกิด
คุณหลิวซู่เทียนบอกว่า สมาคมนักธุรกิจไต้หวันยึดหลักการ “ได้รับจากสังคม ก็ต้องคืนกำไรให้สังคม” อุทิศตนบำเพ็ญประโยชน์เพื่อสังคมไทย แสดงออกถึงสปิริตของชาวไต้หวันในการอุทิศตนช่วยเหลือผู้อื่น เขายกตัวอย่างให้ฟังว่า สมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทยได้ร่วมมือกับองค์กรการกุศลอื่นๆ มอบทุนการศึกษาให้แก่นักเรียนยากจนที่จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 15 แล้ว
จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นจังหวัดทางภาคเหนือของไทย เกิดอุทกภัยน้ำท่วมครั้งใหญ่ในปีค.ศ.2002 ที่นาจำนวนมากถูกน้ำท่วม บ้านเรือนราษฎรถูกน้ำป่าไหลหลากพัดเสียหายอย่างหนัก ในตอนนั้น นักธุรกิจไต้หวันในไทยได้ช่วยกันระดมสิ่งของบรรเทาทุกข์และเงินสดให้ความช่วยเหลือชาวบ้านที่นั่นอย่างเร่งด่วน และหลังจากนั้นเป็นต้นมา สมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทยก็มอบทุนการศึกษาให้แก่เด็กยากจนที่จังหวัดเพชรบูรณ์เป็นประจำทุกปี ซึ่งปีนี้เป็นปีที่ 15 ติดต่อกันแล้ว
คุณหลิวซู่เทียนยังคงห่วงใยบ้านเกิดเมืองนอนของตน ซึ่งเมื่อเกิดเหตุแผ่นดินไหวรุนแรงที่ไถหนานเมื่อเดือนก.พ. ปีนี้ สร้างความเสียหายทั้งชีวิตและทรัพย์สิน สมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทยได้เป็นตัวตั้งตัวตีในการรับเงินบริจาคบรรเทาทุกข์ สามารถรวบรวมเงินบริจาคจากเพื่อนชาวไต้หวันในไทยได้ถึง 14.4 ล้านบาท ภายในเวลาเพียง 2 สัปดาห์ ซึ่งเป็นการยื่นมือให้ความช่วยเหลือและแสดงความห่วงใยอย่างเป็นรูปธรรมต่อบ้านเกิดของตน
ในฐานะนายกสมาคมฯ คุณหลิวซู่เทียนได้ผลักดันแผนการให้ความช่วยเหลือเยาวชน ซึ่งจะเป็นกำลังหลักอันเข้มแข็งของสมาคมฯ นำพาสมาคมฯ ให้ก้าวไปข้างหน้า ซึ่งเขาส่งเสริมและสนับสนุนให้เยาวชนเข้าร่วมกิจกรรมของสมาคมอย่างเต็มที่ สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่า เพื่อให้สมาคมฯ พัฒนายั่งยืนนิรันดร์กาลต่อไปในประเทศไทย
หลังจากที่มุมานะพยายามมานานหลายปี คุณหลิวซู่เทียนก็ประสบความสำเร็จในชีวิตการงานของตน ปัจจุบันได้มอบงานการบริหารให้แก่ทีมงานที่มีความสามารถเฉพาะด้านแล้ว ส่วนบุตรชาย 2 คนของเขาก็กำลังศึกษางานจากผู้บริหารในบริษัท ในขณะที่ตัวคุณหลิวซู่เทียนได้ทุ่มเทเวลาและความสามารถให้แก่งานของสมาคมฯ และมีความสุขกับการใช้ชีวิตของตนร่วมกับบุตรหลานอย่างอบอุ่น
เมื่อหวนย้อนรำลึกถึงเรื่องราวในสนามรบทางธุรกิจในอดีตที่เต็มไปด้วยตัวแปรต่างๆ มากมาย คุณหลิวซู่เทียนบอกว่า เขามีคติเตือนใจที่ว่า “กล้าที่จะตั้งสมมติฐาน แต่ต้องพิสูจน์ด้วยความระมัดระวัง” ซึ่งเป็นคำสอนเมื่อ 50 ปีก่อนของครูใหญ่เจิ้งปิ่งเฉวียน (鄭秉權) แห่งวิทยาลัยพาณิชย์เฉ่าถุน กลายเป็นเข็มทิศชี้นำการบริหารธุรกิจและตราตรึงในชีวิตของคุณหลิวซู่เทียนตลอดมา
และเมื่อย้อนมองหนทางที่ก้าวผ่านพ้นมา สิ่งที่คุณหลิวซู่เทียนซาบซึ้งและต้องแสดงความขอบคุณอย่างที่สุดก็คือภรรยาของเขาที่ช่วยเหลือค้ำจุนให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ช่วยให้เขาก้าวผ่านพ้นความยากลำบากนานัปการ คุณหลิวซู่เทียนบอกว่า เมื่อต้องเผชิญหน้ากับอุปสรรค พลังขับเคลื่อนสูงสุดของเขาก็คือพลังสนับสนุนจากภรรยานั่นเอง ทำให้เขาประคับประคองตัวเองให้ก้าวต่อไปข้างหน้า จนประสบความสำเร็จในวันนี้
สำหรับอนาคต ในฐานะนายกสมาคมนักธุรกิจไต้หวันแห่งประเทศไทย คุณหลิวซู่เทียนจะแสดงบทบาทในฐานะสะพานเชื่อม ผลักดันปฏิสัมพันธ์ระหว่างไทยกับไต้หวัน อุทิศตนให้แก่การผลักดันนโยบาย “มุ่งสู่ใต้ครั้งใหม่” ของรัฐบาลอย่างสุดความสามารถ