คุณซุนลี่อัน (孫莉安) และคุณหลี่อ้ายเจิน (李愛珍) คือคู่สมรสที่เดินทางมาไกลจากประเทศไทยและอินโดนีเซีย ซึ่งก็คล้ายกับผู้คนอีกจำนวนมากจากภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่อพยพมาตั้งรกรากในไต้หวัน ทุกชีวิตต้องผ่านช่วงเวลาที่ยากลำบาก พวกเธอเริ่มจากการจำยอมเมื่อถูกเลือกปฏิบัติในฐานะของคู่สมรสชาวต่างชาติ แล้วจึงค่อยๆ กลับมาฟื้นฟูความเป็นตัวเองและเอกลักษณ์ประจำชาติ จนกลายมาเป็น ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ ของไต้หวัน และเมื่อเวลาผ่านไป จากบ้านเกิดของคนอื่นก็กลายเป็นเหมือนบ้านของตัวเอง รสชาติจากบ้านเกิดที่เคยถูกทอดทิ้ง กลับกลายมาเป็นอาหารเลิศรสบนโต๊ะอาหารประจำบ้านที่ได้รับการชื่นชมจากคนในครอบครัว ทั้งผู้ใหญ่ลูกเด็กเล็กแดงล้วนชื่นชอบรสชาติขนมหวานจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ หลังจากใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวันเป็นเวลานานปี พวกเธอจึงเข้าใจถึงความหมายแท้จริงของคำกล่าวที่ว่า ลำบากก่อน สบายทีหลัง หรือ ความอดทนเป็นสิ่งที่ขมขื่น แต่ผลของมันหวานชื่นอยู่เสมอ
เวลาใกล้เที่ยงของวันหยุดสุดสัปดาห์ในช่วงปลายการปิดเทอมภาคฤดูร้อน ภายในห้องเรียนที่ไม่ค่อยคึกคักของโรงเรียนประถมถงอัน (同安國小) นครเถาหยวน มีการรวมกลุ่มของบุตรหลานผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่รุ่นที่ 2 จำนวนกว่า 40 คน เพื่อเข้าร่วมค่ายวัฒนธรรมภาษาไทย คุณซุนลี่อันวัย 47 ปี กับกลุ่มสตรีคู่สมรสทั้งคนไทยและคนไต้หวันกำลังเตรียมวัตถุดิบสำหรับทำขนมหวานให้เด็กๆ รับประทาน สิ่งที่จะทำคือสาคูฟักทองแบบไทย คุณซุนลี่อันหัวเราะและพูดว่า สาคูจริงๆ แล้วก็คือโมโมจาจา (burburchacha) เป็นขนมหวานที่ทำง่ายที่สุด และเด็กๆ ก็ชอบรับประทานที่สุดด้วย
เมื่อก่อนเคยถูกเหยียด ปัจจุบันเปลี่ยนเป็นคนสอนทำอาหาร
คุณซุนลี่อันเป็นคนไทย จบการศึกษาในสายอาชีวะ และเดินทางมายังไต้หวันตั้งแต่อายุ 24 ปี เดิมทีที่เดินทางมาไต้หวันเพราะอยากเรียนต่อในระดับมหาวิทยาลัย ฉันพกพจนานุกรมภาษาอังกฤษเล่มหนามากๆ มาด้วย เพราะคิดว่าการพูดภาษาอังกฤษได้ก็จะทำให้ทุกอย่างราบรื่น แต่คิดไม่ถึงว่ามันจะผิดพลาดไปจากที่คาดหวังไว้ คนที่ไม่เข้าใจภาษาจีนแม้เพียงประโยคเดียวอย่างเธอ ต้องเริ่มทำงานไปด้วย และเรียนพิเศษเสริมภาษาจีนไปด้วย แล้วรู้จักกับสามีได้อย่างไร? เธอพูดเล่นๆ ว่า สามีตามตื๊อหนักมาก เธอยิ้มและพูดต่อว่า รู้จักกันผ่านการแนะนำจากเพื่อนของพวกเขา รู้จักกันประมาณ 1 ปีกว่าๆ เธอก็คิดว่า เอาเถอะ ไหนๆ เขาก็รักฉันมากขนาดนี้ แต่งงานกับเขาก็แล้วกัน และทั้งสองคนก็ได้ให้กำเนิดบุตรชายและบุตรสาว
ชีวิตแต่งงานของเธอช่างหวานชื่น แต่ตอนเริ่มต้นกลับไม่ใช่่เรื่องง่ายๆ คุณซุนลี่อันกล่าวว่า แม่สามีมักพูดจาไม่ดีกับเธอเช่น ลูกชายเป็นลูกฉัน แต่ลูกสะใภ้น่ะไม่ใช่ ทั้งยังหวาดระแวงกลัวว่าเธอจะขโมยเงิน กลัวว่าเธอจะหลบหนี แต่เธอกลับเป็นคนมองโลกแง่ดี เธอพูดว่า ฉันไม่รู้ว่าคนอื่นจะเศร้าเสียใจนานแค่ไหน แต่สำหรับฉันจะเศร้าแค่วันเดียว ร้องไห้ออกมาให้หมดแล้วมันก็จะผ่านไป เพียงหวังว่าพรุ่งนี้จะต้องดีกว่า เมื่อเวลาที่ผ่านไปจะช่วยพิสูจน์ใจคน ความอดทนของคุณซุนลี่อันได้รับการตอบแทน เธอนึกย้อนกลับไป มีครั้งหนึ่งแม่สามีป่วยนอนโรงพยาบาล คิดไม่ถึงว่าท่านจะเอาสมุดบัญชีธนาคารมาให้เธอเก็บรักษา เธอจึงรู้ทันทีว่าแม่สามีได้ให้ความไว้วางใจและยอมรับในตัวเธอแล้ว
อย่างไรก็ตาม ในช่วง 10 ปีแรก คุณซุนลี่อันใช้ชีวิตอยู่ในไต้หวันด้วยความเงียบเหงา เธอฟังทุกอย่างที่คนในบ้านพูด ถ้าไม่ทำงานบ้าน ดูแลคนในครอบครัว ก็ออกไปทำงานพิเศษหาเงินที่โรงงาน ใช้ชีวิตอยู่แต่สองสถานที่นี้เท่านั้น ไม่มีชีวิตส่วนตัวและไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ จนเมื่อ 9 ปีก่อน เธอได้เข้ามาในสมาคมพัฒนาชุมชนลี่ซิ่น (立信社區發展協會) เขตจงลี่ นครเถาหยวน ที่ริเริ่มโดยคุณครูจ้าวเพ่ยอวี้ (趙佩玉) จากโครงการ หัวใจผ่องใส (蕙質蘭心) เพื่อให้บริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ คุณซุนลี่อันจึงเริ่มเข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ และพบปะผู้คนมากขึ้น และยังได้รับรางวัลรองชนะเลิศจากการแข่งขันสุนทรพจน์ภาษาจีน ซึ่งนั่นทำให้เธอมีความมั่นใจเพิ่มมากขึ้น คุณซุนลี่อันกล่าวว่า คุณจ้าวเพ่ยอวี้สอนเธอหลายอย่าง ชีวิตเป็นของเรา ไม่ใช่การทุ่มเททุกอย่างให้กับครอบครัวจนสูญสิ้นความเป็นตัวเอง
เธอตระหนักดีว่า การดูแลครอบครัวอยู่ที่บ้านก็สามารถทำในสิ่งที่รักได้ ดังนั้นจึงเริ่มไปเรียนตามคลาสต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องความสวยความงามที่เธอสนใจมากเป็นพิเศษ เธอหัวเราะแล้วพูดว่า ฉันเพิ่งจะผ่านช่วงดื้อรั้นตอนอายุ 40 ปี ตอนนั้นเธอไม่ฟังคำคัดค้านของคนในครอบครัวเกี่ยวกับการไปทำงานที่บริษัทเครื่องสำอาง เธอชื่นชอบบริษัทนี้มาก บริษัทดูแลพนักงานใหม่เป็นอย่างดี ฉันได้รับรางวัลและโบนัสมากมาย รายได้จากทำงานถือว่าไม่เลวทีเดียว จนคนในครอบครัวเริ่มหันมาสนใจในสิ่งที่ฉันทำมากขึ้น คุณจ้าวเพ่ยอวี้ที่นั่งอยู่ด้านข้างกล่าวเสริมว่า เธอเคยทำยอดขายได้เป็นอันดับ 1 ของไต้หวัน เพียงแค่ทำธุรกิจกับเพื่อนคนไทยก็ทำกันไม่หวาดไม่ไหวแล้ว
เมื่อสภาพเศรษฐกิจคล่องตัวมากขึ้น ลูกๆ จึงมีสิทธิได้เรียนรู้เกี่ยวกับภาษา คุณซุนลี่อันกล่าวว่า สมัยที่ลูกยังเด็กๆ พวกเขาคิดว่าภาษาของแม่ไม่ได้มีความสำคัญอะไร แต่ไม่กี่ปีมานี้ ทัศนคติของเด็กๆ เริ่มเปลี่ยนไป เพราะว่ารัฐบาลให้การสนับสนุนโรงเรียนสอนภาษาของแม่ที่เป็นคู่สมรสต่างชาติ พวกเขาค้นพบว่าการรู้ภาษามากขึ้นอีก 1 ภาษา เป็นอีกหนึ่งข้อได้เปรียบ ยิ่งลูกชายเรียนมหาวิทยาลัยในคณะการท่องเที่ยว ยิ่งทำให้รู้ว่าภาษาของแม่มีความสำคัญมากขนาดไหน เธอพูดไปยิ้มไปว่า ตอนนี้ลูกชายมีความภาคภูมิใจ เขามักพูดเสมอว่าตัวเองเป็นลูกครึ่ง และเรียกร้องต้องการที่จะเรียนภาษาไทย อยู่ในบ้านก็ใช้ภาษาไทยสื่อสารกับเธอเองด้วย จริงๆ แล้ว ค่ายกิจกรรมครั้งนี้ก็ได้ลูกทั้งสองเข้ามาช่วยตลอด
ช่วงที่ชีวิตไม่เป็นอย่างที่ตั้งใจ เธอเคยคิดว่า ถ้าไม่ได้มาไต้หวัน ชีวิตของฉันคงจะดีกว่านี้ แต่ตอนนี้ครอบครัวเต็มไปด้วยความรักความอบอุ่น ลูกๆ เติบโตขึ้นมาอย่างราบรื่นปลอดภัย เธอยังมีโอกาสได้ทำในสิ่งที่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งคาดไม่ถึงว่าจะมีความสุขมากขนาดนี้ คุณซุนลี่อันกล่าวว่า ตลอดเส้นทางของชีวิตในไต้หวัน เริ่มจากถูกดูถูกเหยียดหยาม ถูกบังคับให้ยอมรับ จนถึงตอนนี้ได้รับความเคารพนับถือ และยอมรับว่ากลายมาเป็นส่วนหนึ่งของไต้หวันแล้ว เธอพึงพอใจกับทุกอย่างในวันนี้
เธอมักจะทำอาหารไทยในรสชาติแบบดั้งเดิม เธอยิ้มและพูดว่า ครอบครัวชอบให้เธอทำผัดกะเพรา แกงเขียวหวาน และหลังจากกินข้าวเสร็จแล้วก็ต้องกินของหวานอย่างสาคู เธอหัวเราะและพูดต่อว่า พวกเขาชอบกินมาก เพราะเธอมีฝีมือที่ดีในการทำอาหาร จนสามีเธอที่เคยมีน้ำหนัก 80 กิโลกรัม อ้วนขึ้นและมีน้ำหนักเกือบ 100 กิโลกรัม เธอพูดว่า เมื่อมองย้อนกลับไป ฉันรู้สึกว่าตอนนี้ไม่มีการแบ่งแยกเธอฉัน ตอนนี้ถ้าฉันพูดว่าฉันเป็นคนไทย คนไต้หวันยินดีที่จะยอมรับพวกเรา บางครั้งคนไต้หวันก็มาขอให้ฉันไปสอนพวกเขาทำอาหาร เรียกว่าเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว
และแล้วเครื่องเทศและครกจากบ้านเกิด
ก็ได้นำมาใช้ประโยชน์ในที่สุด
คุณหลี่อ้ายเจินเป็นอีกหนึ่งสมาชิกของโครงการ หัวใจผ่องใส เธอเป็นชาวอินโดนีเซีย ปัจจุบันอายุ 42 ปี นับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก ส่วนสามีนับถือลัทธิอนุตตรธรรม (一貫道) การแต่งงานมาอาศัยอยู่ในไต้หวันเมื่อ 17 ปีที่แล้ว ถือเป็นเรื่องที่ไม่คาดฝัน เพราะในปีนั้นเธอเช่าบ้านอยู่ที่กรุงจาการ์ตา เพื่อนของเธอแนะนำให้รู้จักสามีซึ่งมาเผยแพร่ลัทธิอนุตตรธรรม เขาจะเดินทางมาอินโดนีเซียปีละ 2-3 ครั้ง มีครั้งหนึ่งเขาพาคนในครอบครัวมาที่อินโดนีเซียด้วย ตอนนั้นว่าที่แม่สามีในอนาคตอยากทำความรู้จักกับพ่อแม่ของเธอ ในใจเธอคิดว่ามันยังเร็วเกินไป จึงตัดสินใจยื่นข้อเสนอ 3 เรื่อง โดยหวังว่าเมื่อพวกเขารับทราบแล้วคงจะถอยไปตั้งหลักกันใหม่
ข้อเสนอทั้ง 3 เรื่องประกอบด้วย 1. ไม่เปลี่ยนการนับถือศาสนา 2. ลูกที่จะเกิดมาในอนาคตต้องนับถือศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิกเช่นเดียวกัน และ 3. ว่าที่สามีจะต้องเรียนคำสอนของคาทอลิกเป็นเวลา 3 เดือน และสิ่งสำคัญที่สุดคือ แต่งงานแล้วต้องไม่หย่าร้างกัน ถ้าเขายอมรับได้ ฉันก็จะตกลง ผลสรุปคือฝ่ายตรงข้ามยอมรับเงื่อนไขทั้งหมด และกลับกลายเป็นเธอที่วิตกกังวล นอนหลับก็ไม่สนิท เพราะไม่รู้ว่าจะต้องปฏิเสธอย่างไรดี
เพราะขี่หลังเสือแล้วลงยาก พวกเขาทั้งหมดจึงนั่งเรือเร็วเป็นเวลา 8 ชั่วโมง เดินทางระยะไกล กลับไปยังบ้านเกิดของคุณหลี่อ้ายเจิน ซึ่งอยู่บนเกาะบังกา (Bangka Islands) จังหวัดสุมาตรา ขณะนั้นเธอกำลังทำงานด้านแนะแนวการศึกษาในโรงเรียนมัธยมศึกษา ในใจก็คิดว่า ทำไมฉันเรียนจบมหาวิทยาลัย มีการงานที่มั่นคง แต่ต้องมาแต่งงานกับคนไต้หวัน ในเวลานั้นอินโดนีเซียอยู่ในช่วงที่กำลังกีดกันคนเชื้อสายจีนอย่างหนัก และแม้จะรู้ว่าคุณแม่ไม่ค่อยอยากจะให้เธอไป แต่คุณพ่อกลับคิดว่านี่เป็นอีกหนึ่งโอกาส และพูดย้ำเป็นร้อยเป็นพันครั้งให้ลูกเขยต้องดูแลเธอเป็นอย่างดี ดังนั้น เธอจึงตัดสินใจแต่งงานและเดินทางมาอาศัยอยู่ที่ไต้หวัน
อินโดนีเซียคือประเทศที่มีเครื่องเทศหลากหลายชนิด อาหารหลายอย่างมีเครื่องเทศเป็นส่วนประกอบ ยิ่งคุณหลี่อ้ายเจินเป็นคนชอบเข้าครัวทำอาหาร ทำให้กระเป๋าเดินทางในการไต้หวันครั้งแรกเต็มไปด้วยเครื่องเทศจำนวนมาก อาทิ ตะไคร้ ขมิ้น และพริกไทย เป็นต้น อีกทั้งยังนำเอาอุปกรณ์สำคัญในครัวอย่างครกหินมาไต้หวันด้วย เพื่อใช้สำหรับบดตำเครื่องเทศ และผสมส่วนประกอบต่างๆ เธอทำอาหารอินโดนีเซียขึ้นเสิร์ฟบนโต๊ะ ปรากฏว่าคนในครอบครัวกลับรับประทานไม่เป็น เพราะอาหารไต้หวันทำง่ายๆ มีเขียง 1 อัน หั่นๆ สับๆ ก็ได้แล้ว จากนั้นเธอจึงเข้ามาสู่ธรรมเนียมปฏิบัติแบบดั้งเดิม ด้วยการทำอาหารตามครอบครัวทั้งห่อเกี๊ยว ทำบ๊ะจ่างเจกับเนื้อแบบชาวฮากกา และทำโมจิ เป็นต้น เธอหัวเราะพร้อมเล่าว่า หลังจากนั้นการทำอาหารทุกอย่างของเธอก็เหมือนกับคนไต้หวันทั้งหมด รสชาติอาหารจากบ้านเกิดจึงถูกปิดผนึกไว้นับตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
แม้ว่าเธอจะมีเชื้อสายจีน แต่พูดได้เพียงภาษาฮากกา พูดภาษาจีนกลางไม่ได้เลย หลังจากมาถึงไต้หวันเธอจึงต้องไปเรียนพิเศษเสริมภาษาจีน เธอหัวเราะและพูดว่า ได้เรียนจู้อิน ปอ พอ มอ (ㄅㄆㄇ) กับผู้อาวุโสหลายคน หลายปีที่ผ่านมา ชีวิตประจำวันของเธอนอกจากบ้านตัวเอง ก็มีบ้านแม่สามี ต้องดูแลทั้งเด็กและคนแก่ในบ้าน ตัวเธอเองรู้จักเพียงคนแก่ ทุกวันต้องกวาดบ้านทำงานบ้าน ฉันอยากทำงาน อยากออกไปดูโลกข้างนอกว่า คนอื่นเขามีวิถีชีวิตกันอย่างไรบ้าง แม้ว่าสามีจะไม่สนับสนุน แต่ก็ไม่ได้ขัดขวาง เธอจึงตัดสินใจขี่มอเตอร์ไซค์ออกไปหางานทำแถวนิคมอุตสาหกรรม จนได้งานที่บริษัท ASE Group แต่โชคก็ไม่ได้เข้าข้างเสมอไป อาจเป็นเพราะต้องทำงานหนักตลอดเวลา หลังทำงานได้ 4 ปี เธอก็มีอาการปวดกระดูกสันหลังซึ่งรุนแรงจนไม่สามารถเดินได้ เธอทำกายภาพบำบัดเป็นเวลา 2 ปี จึงกลับมาเดินได้อีกครั้ง
หลังจากสุขภาพดีขึ้นได้ไม่นาน เธอก็ได้ตอบรับเข้าร่วมโครงการ หัวใจผ่องใส คุณจ้าวเพ่ยอวี้ผู้รับผิดชอบโครงการถามเธอว่า อยากเรียนภาษาจีนไหม ตอนนั้นเธอเริ่มเข้าร่วมโครงการฯ และทำกิจกรรมหลายอย่างที่จัดขึ้น รวมถึงเป็นจิตอาสาในโรงเรียนประถมศึกษาเพื่อสอนภาษาของคู่สมรสต่างชาติ ฉันสอนพวกเขาพูดภาษาอินโดนีเซีย พวกเขาก็เป็นคุณครูตัวน้อยสอนภาษาจีนให้กับฉัน การได้กลับไปในโรงเรียนทำให้เธอมีความมั่นใจมากขึ้น เธอเริ่มไปสอนภาษาอินโดนีเซียตามที่ต่างๆ และปัจจุบันเป็นอาจารย์สอนภาษาอินโดนีเซียในมหาวิทยาลัยชุมชนเขตจงลี่ ลูกชายของเธอที่ไม่ได้พูดภาษาอินโดนีเซียกับเธอมานาน ก็เริ่มที่จะพูดกับเธอด้วย
เป็นเพราะการร่วมกิจกรรมกับโครงการ หัวใจผ่องใส เธอจึงมีโอกาสนำเอาความสามารถในการทำอาหารอินโดนีเซียกลับมาใช้งานอีกครั้ง การจัดกิจกรรมแลกเปลี่ยนทำให้เธอได้โชว์ฝีมือการทำอาหาร ครกที่ไม่ได้ใช้งานมานานก็ถูกนำกลับมาปัดฝุ่น คนในครอบครัวก็ค่อยๆ ยอมรับในรสชาติอาหารจากบ้านเกิดของเธอ พวกเขาชอบรับประทานข้าวหมกราดแกงเนื้อ และแกงกะหรี่อินโดที่เธอทำ เธอพูดด้วยความดีใจว่า สมัยก่อนทำหนึ่งหม้อกินคนเดียว มันช่างเหงามาก ตอนนี้กลับแปลกไปเพราะทุกคนแย่งกันกิน สามีของฉันพูดว่าตอนนี้ท้องเหมือนกับถังขยะ อะไรก็กินหมด
ในช่วงฤดูร้อนเธอจะทำขนมหวานให้ครอบครัวรับประทาน ลอดช่อง (chendol) ถือเป็นขนมหวานที่ขึ้นชื่อของประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งวิธีการทำง่ายมาก เธออยู่ไต้หวันก็ทำเช่นกัน เพราะเป็นขนมหวานที่เด็กๆ ส่วนใหญ่ชื่นชอบ