เมื่อทอดสายตาจากเบื้องบนไปยังทิศตะวันออกเฉียงใต้ของวัดหลงซาน เราจะพบสิ่งปลูกสร้างรูปเกือกม้า นั่นก็คือ ตลาดแห่งวัฒนธรรมซินฟู่ติง (新富町文化市場) สร้างมาตั้งแต่ปี 1935 อยู่คู่กับตลาดสดที่นี่มานานกว่า 80 ปี ความโดดเด่นของมันลดทอนลงไปพร้อมๆ กับกาลเวลา และเมื่อมีตลาดสมัยใหม่เกิดขึ้น มันก็ค่อยๆ ถูกผู้คนลืมเลือน
อากาศปลอดโปร่ง เมื่ออาม่าวัยกว่า 60 ปี เสร็จสิ้นภารกิจประจำวันของตนแล้ว ก็จะเอาเก้าอี้ตัวน้อยมานั่งพักที่หน้าบ้าน ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถอดถุงเท้าและรองเท้า รอลูกชายไปส่งน้ำแข็งให้แก่ร้านอาหารทะเลในละแวกนั้น
คุณยายถือตะกร้าผักเดินผ่านมาและหยุดทักทายกับอาม่า ส่วนคุณลุงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามก็ทักทายกับอาม่าและยืมสายยางมา คนหนุ่มสาวมากันเป็นกลุ่มๆ เพื่อตอกบัตรเริ่มทำงานที่นี่ ต่างทักทายยามเช้ากับอาม่าด้วยเสียงใสๆ
ที่นี่คือมุมหนึ่งของ ตลาดแห่งวัฒนธรรมซินฟู่ติง ที่มีอายุเก่าแก่ที่สุด ได้รับการปรับปรุงแล้ว เจ้าของก็คือ อาม่าอ้ายเจียว (愛嬌嬤) พรีเซ็นเตอร์ชั้นยอดของตลาดแห่งนี้
โรงน้ำแข็งเป็นแผงเดียวที่หลงเหลืออยู่ในตลาดซินฟู่แห่งนี้ เจ้าของรุ่นแรกเป็นชาวญี่ปุ่นที่มีชื่อว่า โยชิฮิเดะ โตโตะ (Yoshihide Toto) และหลังจากที่ไต้หวันได้รับเอกราชคืนมาแล้ว ครอบครัวของสามีอาม่าอ้ายเจียวก็สืบทอดโรงน้ำแข็งแห่งนี้ต่อ จนกระทั่งทุกวันนี้อาม่าอ้ายเจียวบริหารเองแต่เพียงผู้เดียว ขายน้ำแข็งเพื่อรักษาความสดให้แก่อาหารในตลาดแห่งนี้ทั้งหมด รวมแล้วหลายสิบปีทีเดียว แม้แต่กองถ่ายภาพยนตร์ไต้หวันชื่อดัง หมงเจี่ย ก็ยังสั่งน้ำแข็งจากที่นี่เพื่อเอาไปแช่เครื่องดื่มให้แก่สมาชิกในกองถ่ายตอนที่มาถ่ายทำแถวนี้ด้วย
เอ็งต้องถ่ายให้ข้าดูสวยๆ หน่อยนะ วันนั้นอาม่าอ้ายเจียวตั้งใจแต่งชุดลายดอกสีสันสดสวยออกมา และพูดด้วยน้ำเสียงติดตลก ตอนสาวๆ อาม่าต้องออกแรงยกถังเลื่อยน้ำแข็งหนักห้าหกสิบชั่ง (1 ชั่งเท่ากับ 600 กรัม) จนฝ่ามือด้านหมด ตอนนี้อายุมากขึ้นแล้วจึงต้องอาศัยเครื่องทุ่นแรงยกถังน้ำแข็งอันหนักอึ้งเหล่านี้ขึ้นมา จึงจะทำงานต่อไปได้ อาม่ายุ่งอยู่กับการทำงานไปพร้อมๆ กับอธิบายว่า ในยุคที่เครื่องปรับอากาศและตู้เย็นยังไม่แพร่หลายนัก จะมีลูกค้ามาสั่งน้ำแข็งก้อนไปที่บ้าน วางไว้ใต้เก้าอี้หรือใต้เตียงเพื่อคลายความร้อน
เมื่อ 30 ปีเศษที่ผ่านมา เป็นยุคที่ตลาดสดรุ่งเรืองสุดๆ โรงน้ำแข็งจะมีรายได้ถึงวันละสองสามพันเหรียญไต้หวัน แค่ส่งน้ำแข็งตามโรงเรียนก็ทำกันแทบไม่หวาดไม่ไหว แต่เมื่อตลาดซินฟู่ตกต่ำลงเป็นลำดับ เซ็งลี้ก็ย่ำแย่ลงตามไปด้วย คนรุ่นใหม่ไม่อยากทำงานที่ต้องใช้แรงงานเหน็ดเหนื่อย ตอนนี้ก็ถือว่าออกกำลังกายก็แล้วกัน เพื่อสุขภาพไม่ต้องคิดเรื่องเงิน อาม่าอ้ายเจียวจะต้องมาทำน้ำแข็ง ตัดน้ำแข็ง และส่งน้ำแข็งเป็นประจำทุกวัน ท่ามกลางเสียงมอเตอร์ดังกระหึ่ม กลายเป็นภาพอันน่าประทับใจนิรันดร์ของตลาดซินฟู่แห่งนี้
ตลาดเก่าแก่ฟื้นคืนชีพ พลิกโฉมบรรยากาศแบบชาวบ้านๆ
ตลาดซินฟู่ในเขตว่านหัว ไทเป มีชื่อเดิมว่า ตลาดอาหารซินฟู่ติง เริ่มเปิดใช้มาตั้งแต่ปี 1935 ซึ่งเป็นยุคที่ญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ก่อสร้างโดยฝ่ายโยธา นครไทเป และหลังจากที่ไต้หวันได้รับเอกราชแล้ว กองทัพและรัฐบาลสาธารณรัฐจีนได้อพยพมายังไต้หวัน ตั้งรกรากที่นี่ เปิดแผงลอยที่นี่ ตลาดซินฟู่จึงรุ่งเรืองขึ้นเป็นลำดับ ตั้งอยู่ท่ามกลางการแวดล้อมของตึกรามบ้านเรือนที่แออัดยัดเยียดและสิ่งปลูกสร้างสไตล์ไต้หวันเป็นจำนวนมาก แผงขายของก็ล้นออกมานอกตลาดเกินจำนวนที่กำหนดไว้ในตอนแรกที่มีอยู่ 35 แผง
ในยุคทศวรรษที่ 1950 ที่นี่จะคึกคักไปด้วยร้านรวงต่างๆ มากมาย เคยเป็นศูนย์กลางแห่งการใช้ชีวิตของชาวบ้านในเขตว่านหัว ต่อมา ในปลายทศวรรษที่ 1970 เมื่อตลาดสด หวนหนาน แห่งใหม่เริ่มเปิดดำเนินการ บวกกับแผงลอยรอบนอกที่กลายเป็นแผงลอยถูกกฎหมาย ทำให้ตลาดซินฟู่เริ่มซบเซาลง ลูกค้าก็ค่อยๆ หดหายไปเป็นลำดับ จนถึงยุคทศวรรษที่ 1990 ตลาดสดแบบดั้งเดิมลดน้อยลง ลูกค้าก็ลดลง ในที่สุดต้องประสบชะตากรรมก้าวสู่ยุคแห่งความถดถอย
เมื่อเปรียบเทียบกับย่านตงซานสุ่ย (東三水街) ในบริเวณใกล้เคียงที่คึกคักไปด้วยผู้คนแล้ว ตลาดซินฟู่จึงดูซบเซาไปอย่างถนัดตา สิ่งปลูกสร้างในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวันนี้ได้กลายเป็นโกดังเก็บข้าวของของบรรดาแผงลอยในตลาด และที่จอดรถจักรยานยนต์ ตั้งเด่นเป็นตระหง่านทวนกระแสแห่งยุคสมัย กระทั่งปี 2006 เทศบาลกรุงไทเปจึงประกาศให้เป็น โบราณสถานระดับนคร ด้วยเหตุผลที่ว่าอาคารแห่งนี้เต็มไปด้วยคุณค่าทางมรดกแห่งวัฒนธรรม จึงเริ่มส่องแสงเจิดจรัสอีกครั้ง
เมื่อสำนักงานบริหารตลาดสด เทศบาลกรุงไทเป ได้ปรับปรุงซ่อมแซมตลาดแห่งนี้แล้ว และในปี 2013 มูลนิธิศิลปวัฒนธรรมสถานจงไท่ (忠泰建築文化藝術基金會) ได้รับสัมปทานให้บริหารตลาดซินฟู่แห่งนี้เป็นเวลา 9 ปี เพื่อดูแลบริหารและวางแผนชุบชีวิตให้แก่ตลาดแห่งนี้ แต่ในตอนแรกที่เพิ่งเข้ามาบริหารใหม่ๆ ทีมงานพบว่า ข้อมูลเกี่ยวกับตลาดแห่งนี้ที่ยังหลงเหลืออยู่มีน้อยมาก เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิจึงต้องลงพื้นที่เจาะลึกหาข้อมูล จากชาวบ้านและแผงลอยที่อยู่ในบริเวณนี้ รวมทั้งขอความรู้จากนักวิชาการ จากนั้นจึงนำมาปะติดปะต่อเป็นเรื่องราวในยุคแห่งความโชติช่วงชัชวาลของตลาดเก่าแก่แห่งนี้
เมื่อมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมสถานจงไท่เข้ามาบริหารงานที่นี่ ก็สร้างความแปลกใจให้แก่บรรดาแผงลอยรุ่นเก่าแก่ ซึ่งสอบถามปัญหาต่างๆ กันอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นปัญหาสินค้าที่จะนำมาจำหน่ายในตลาดมีอะไรบ้าง รวมทั้งจะอนุญาตให้มีแผงลอยต่อไปหรือไม่ จึงต้องอธิบายให้ชาวบ้านและแผงลอยได้เข้าใจว่า ที่นี่จะไม่ใช่ ห้างขายของ อย่างในอดีตอีกต่อไป แต่จะวางแผนนำเอาเอกลักษณ์ของตลาดสดมาประสานกับกิจกรรมที่จะจัดขึ้น อาศัยรูปแบบใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่ มาเสริมสร้างความรู้สึกกับเพื่อนบ้าน ทำให้ผู้คนรำลึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ในอดีต
เดือนมีนาคม 2017 ที่นี่เปิดตัวใหม่ในนามของ ตลาดวัฒนธรรมซินฟู่ติง สลัดพ้นจากความเป็นตลาดสดในอดีต แปลงกายเป็นฐานแห่งนวัตกรรมแบบผสม เริ่มตั้งแต่เรื่องอาหาร เครื่องดื่ม การบริหารชุมชน ตลอดจนการสำรวจการใช้ชีวิตในตลาด จัดกิจกรรม สัมมนา และเวิร์คช็อป อัดฉีดพลังและชีวิตแห่งการออกแบบยุคใหม่ให้แก่ตลาดเก่าแก่แห่งนี้ เปิดโฉมใหม่แห่งประวัติศาสตร์วัฒนธรรม รวมทั้งความเป็นพื้นบ้านของซินฟู่ติง
ดีไซน์ล้ำยุค อุดมด้วยสติปัญญา
ในยุคนั้น อาคารรูปเกือกม้านี้ เป็นตลาดสดของรัฐที่หายากมากในปัจจุบัน โครงสร้างสำคัญของมันก็คือต้องเสริมความแข็งแกร่งของอาคารที่สร้างจากอิฐ กำแพงด้านนอกก็สร้างขึ้นจากหินขัดโดยรอบที่ออกแบบอย่างเรียบง่าย แต่ก็เต็มไปด้วยประโยชน์ใช้สอย ภายในจะยกเพดานสูง มีหน้าต่างในแนวราบจำนวนมาก ออกแบบเป็นรูปเกือกม้าให้มีแนวเดินช็อปปิ้งที่ไม่วกวน มีปล่องตรงกลางเพื่อใช้เป็นช่องระบายอากาศและส่องแสงสว่างอย่างพอเพียงให้แก่ภายในของตลาด
เมื่อเราเดินจากถนนซานสุ่ยไปยังทิศเหนือของตลาด คนตาดีก็จะพบลายคลื่นน้ำและตราประทับรุ่นแรกของเทศบาลกรุงไทเปอยู่บนกำแพงทางเข้า และเมื่อเงยหน้าขึ้นมองด้านบนของประตูก็จะเห็นคานคอนกรีตเสริมเหล็กบนเพดานด้านทิศเหนือของตัวอาคาร ตลอดจนมีไม้กางเขนอยู่ด้านข้าง รวมทั้งด้ามประตูไม้ผุๆ เพราะถูกเผา นอกจากนี้ ยังมีส่วนของร้านอาหารแจ่มๆ คลอเคลียอย่างเหมาะเจาะ
ในฐานะตลาดสมัยใหม่แห่งแรกในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวัน ที่เป็นไปตามนโยบายสาธารณสุขแผนใหม่ ระบบระบายน้ำของตลาดซินฟู่มีการออกแบบเป็นพิเศษ เพดานโดยรอบทั้ง 4 ด้าน จะเอียงไปทางปล่องระบายอากาศกลางอาคาร น้ำที่ขังบนหลังคาก็จะไปรวมกันอยู่ในท่อระบายน้ำรูปตัว U กลางอาคารรูปเกือกม้า ไหลผ่านท่อทองแดงไปสู่บ่อที่ฝังไว้กลางลานจึงระบายน้ำออกไป วิธีการระบายน้ำแบบนี้สอดคล้องกับทัศนะและความเชื่อของชาวไต้หวันที่ว่า น้ำนำมาซึ่งความร่ำรวย
เรากำลังเผชิญหน้ากับปัญหาหนักอกอย่างหนึ่ง นั่นก็คือความรู้สึกผูกพันต่อบ้านเกิดที่พอกพูนเป็นทวีคูณอย่างไม่ขาดสาย แต่ความจำของเรากลับลดน้อยถอยลงเป็นลำดับ เราจึงควรหาจุดสมดุลระหว่างความผูกพันกับความจำ ในห้องแคบๆ ที่เต็มไปด้วยประวัติศาสตร์นี้
คุณหลินโหย่วหาน (林友寒) ซึ่งรับหน้าที่สถาปนิก ออกแบบโดยใช้ประโยชน์จากพื้นที่ภายในอาคาร และได้พยายามออกแบบโดยไม่ทำให้โบราณสถานแห่งนี้ได้รับความเสียหาย ส่วนการเพิ่มเติมวัสดุอุปกรณ์และเทคนิคต่างๆ ก็จะยึดหลักการ กลับไปใช้ประโยชน์ได้อีก เลือกใช้โครงสร้างที่มีขนาดเบา สามารถถอดประกอบได้ ไม่ว่าจะเป็นการปูพื้นหรือการกั้นห้องก็จะต้องพิถีพิถัน รักษาระยะห่างกับพื้นหรือกำแพงที่มีอยู่เดิม แม้อาคารเดิมจะเป็นสิ่งปลูกสร้างที่มั่นคงแข็งแรงเพียงใดก็ตาม แต่สถาปนิกก็ได้ออกแบบโดยนำไม้กระดานและกระจกเข้ามาเสริมเพื่อให้มีความรู้สึกว่าอยู่ในห้องที่ไร้แรงกดดันใดๆ ขณะเดียวกัน ยังได้ออกแบบให้มีพื้นที่สำหรับการจัดกิจกรรม เป็นพื้นที่สำหรับสำนักงาน ร้านอาหาร และเขตเยี่ยมชม ที่แยกออกจากกันอย่างชัดเจน
ในอดีต ตลาดซินฟู่เต็มไปด้วยแผงขายเนื้อสัตว์ประเภทต่างๆ เนื่องจากต้องการพื้นที่ในการแขวนเนื้อสัตว์ ทำให้แผงเหล่านี้ต้องใช้ไม้ต่อขึ้นมาบนฐานซีเมนต์ ซึ่งก็นับว่าโชคดีมากที่ยังคงสามารถอนุรักษ์แผงเก่าแก่ในยุคญี่ปุ่นปกครองไต้หวันไว้ได้ 2 แผง ตอนนี้คงเต็มไปด้วยสิ่งตกแต่งประดับประดา ประเภทต่างๆ ให้ผู้คนได้ซึมซับบรรยากาศแผงขายเนื้อในยุคนั้น หากคุณเดินชมจนรอบภายในอาคารนี้แล้ว ก็อย่าลืมว่าด้านนอกทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือยังมีอาคารที่อนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดีอีกอาคารหนึ่ง เดิมเป็นอาคารไม้รูปทรงแบบญี่ปุ่นที่ใช้เป็นสำนักงานและหอพักของเจ้าหน้าที่ และเป็นสัญลักษณ์แห่งประวัติศาสตร์แห่งหนึ่งของตลาดแห่งนี้เช่นเดียวกัน
กลับสู่ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน
เมื่อก้าวเข้าไปในตลาด ก็เหมือนกับการได้เข้าไปเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์แห่งชีวิต ตลาดซินฟู่อาคารสไตล์ไต้หวัน ครั้งหนึ่งเคยถูกกลืนโดยกลุ่ม อาคารสไตล์ไต้หวัน ที่รายล้อมอยู่โดยรอบ แต่ในวันนี้ได้ฟื้นคืนชีพขึ้นแล้ว ถือเอาตลาดโดยรอบเป็น เพื่อนบ้านแสนดี ที่จะเป็นคลังข้อมูล นำเอาอาหารการกิน ความเป็นเมือง สิ่งปลูกสร้าง และการศึกษาสิ่งแวดล้อม หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว อาศัยการปรับปรุงพื้นที่ภายในอาคารสะท้อนความต้องการของสังคมตามประโยชน์การใช้งานในแต่ละยุคอย่างค่อยเป็นค่อยไป
เราหวังว่ามันจะกลายเป็นตลาดในรูปแบบใหม่ เป็นศูนย์รวมข้อมูลข่าวสารต่างๆ และปฏิสัมพันธ์ระหว่างคนกับคน การเชื่อมต่อในลักษณะเช่นนี้ ไม่เพียงแต่เชื่อมต่อกับบริเวณรอบข้างเท่านั้น หากยังหวังว่าจะครอบคลุมเขตว่านหัวทั้งเขตด้วย กลายเป็นการรวมตัวกันของอัตลักษณ์แห่งคุณค่าเดิมกับความทันสมัยที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแห่งนี้ คุณหลี่เหยียนเหลียง (李彥良) ประธานมูลนิธิศิลปวัฒนธรรมสถานจงไท่ กล่าวทิ้งท้าย
สิ่งที่หล่อเลี้ยงผืนดินในอดีตได้กลายเป็นพลังในอนาคต อนาคตของตลาดซินฟู่อาจกลายเป็นแหล่งรวมความรู้ทั้งประวัติศาสตร์และชีวิตความเป็นอยู่ร่วมกัน ให้ผู้ใช้อาคารเก่ากับอาคารใหม่ในยุคสมัยที่ต่างกันได้มีส่วนร่วมในกิจการสาธารณะ ร้อยเชื่อมความเป็นไปได้และการเปิดกว้างให้มากยิ่งขึ้น
จากนี้จะเห็นได้ว่า ไม่เพียงแต่อาม่าที่จะจูงมือหลานมาเดินเล่น สัมผัสบรรยากาศใหม่ๆ ของตลาดเก่าแก่ที่ฟื้นคืนชีพมาอีกครั้งเท่านั้น แต่วัยรุ่นก็ยังสามารถมาเยี่ยมชมและศึกษาประวัติศาสตร์การพัฒนาของสิ่งปลูกสร้างเก่าแก่อายุเกินกว่า 80 ปี แห่งนี้ได้อีกด้วย
นี่ก็คือการท่องตลาด การลิ้มชิมรส ความทรงจำ และการแบ่งปัน หากคุณมีเวลาก็อาจแวะมาเยี่ยมเยือนที่นี่ สัมผัสบรรยากาศความผูกพันระหว่างคนกับคน และคุณค่าหัวใจของปฏิสัมพันธ์ในความรู้สึกของผู้คน