เกร็ดประวัติศาสตร์ จากปลาย ปากกาของเหลยเซียง
คุณเหลยเซียงวัย 77 ปี เคยได้รับรางวัลเกียรติยศ สูงสุดในหลายสาขา เช่น ด้านโทรทัศน์ การวาดภาพ ประกอบ และวงการสิ่งตีพิมพ์ เป็นต้น นับเป็นคนเก่งที่มี ความสามารถหลายด้าน จนถึงปัจจุบันเขาได้แต่งหนังสือ ไปแล้ว 35 เล่ม และมีผลงานภาพวาดมากมายนับไม่ถ้วน
เมื่อเดือนมีนาคมปีนี้ สำนักพิมพ์ So Yet Book (掃葉工房) ได้จัดพิมพ์หนังสือรวมผลงานของเหลย เซียง ชุด At Peace in the World (人間自若) ซึ่งมี ทั้งหมด 3 เล่ม และหนังสือ 1 ใน 3 เล่ม นั้นคือ หนังสือ เรื่อง The Eyes of the Artist (畫人之眼) จะเป็นการ รวมผลงานภาพสเก็ตช์บางส่วนของเขา สำหรับหนังสือ ชุดนี้ คุณเหลยเซียงได้พรรณนาสิ่งที่เขาได้พบเห็น รวม ถึงวิถีชีวิตของผู้คนผ่านภาพวาดอย่างเป็นธรรมชาติ ไม่ ว่าจะเป็น ถนนตี๋ฮว่า (迪化街) สะพานแขวนซินเตี้ยน (新店吊橋) ถนนโหวต้ง (侯硐街) สถานีรถไฟ สถานี รถไฟฟ้า ห้างสรรพสินค้า ........ ตรอกซอกซอย ตลอดจน ความเป็นอยู่ของผู้คน ขณะเดียวกัน ภาพวาดของเขายัง สะท้อนให้เห็นถึงสภาพของสังคมไต้หวันท่แี ปรเปล่ยี นไป ด้วย
การบันทึกเรื่องราววิถีชีวิตผู้คนใน ไต้หวัน ผ่านภาพสเก็ตช์
เหลยเซียงกล่าวว่า “ในอดีตการบันทึกด้วยตัวอักษร และการวาดภาพถือเป็นเรื่องเดียวกัน แต่ภาพวาด เป็นการบันทึกเรื่องราวที่ชัดเจนและตรงไปตรงมา ซึ่ง เมื่อย้อนกลับมาดูภาพวาดอีกครั้ง มักทำให้ผมนึกถึงเรื่อง ราวที่สร้างความประทับใจในขณะที่วาดภาพนั้นๆ”
“สิ่งที่ผมวาดไม่ใช่โบราณสถานที่มีชื่อเสียง แต่เป็นส่วน หนึ่งของประวัติศาสตร์ที่ผมได้พบโดยบังเอิญ และเป็น ความประทับใจ ณ ขณะนั้น ที่ผมได้สื่อออกมาเป็นภาพ วาดในห้วงเวลาดังกล่าว ซึ่งแสดงให้เห็นถึงวิถีชีวิตของ ผู้คนในอดีตของไต้หวัน เช่น ภาพวาดของอาไชม่า (阿猜嬤) เป็นตัวอย่างที่เห็นได้ชัดเจนที่สุด” เหลยเซียงกล่าว ด้วยน้ำเสียงปลื้มปิติ.
ก่อนหน้านี้ คุณเหลยเซียงพร้อมครอบครัวได้ไปรับ ประทานอาหารที่ตลาดนัดกลางคืนหัวซีเจีย (華西街) เขตว่านหัว ในกรุงไทเป “ที่นั่นมีอาหารที่ผมชอบหลาย อย่าง ซุปเครื่องในวัว ขาหมู ข้าวกระบอกไม้ไผ่ ... และที่ ท้ายซอยมีร้านขนมหวานอยู่ร้านหนึ่ง” ต่อมา คุณเหลยเซียงได้มีโอกาสกลับไปที่นั่นอีกครั้ง ร้านขนมหวานเจ้าเดิมยังคงอยู่ ทำให้นึกย้อนไปเมื่อ 20 ปี ที่แล้ว เขาจำได้ว่าอาม่าขายขนมหวานในขณะนั้น เป็น แม่ของเถ้าแก่เจ้าของร้านคนปัจจุบัน เขาจึงนึกขึ้นได้ว่า เคยวาดภาพของอาม่าไว้ในคร้งั ท่เี คยมากินขนมหวานที่ ร้านนี้ จึงกลับไปค้นภาพที่เขาเคยวาดไว้ และพบภาพนั้น ปรากฏอยู่ในหนังสือชื่อ “งานเลี้ยงเคลื่อนที่” (流動的盛 宴) ซึ่งตีพิมพ์เมื่อปีค.ศ.1998
เขาจึงเขียนจดหมายไปถึงเถ้าแก่ร้านขนมหวาน เล่า ความประทับใจเม่อื คร้งั ได้มาทานขนมหวานท่รี ้านน้เี ม่อื 20 ปีก่อน พร้อมกับส่งภาพวาด “อาไชม่า” ไปให้อาม่าไว้ เป็นที่ระลึก
ภาพความเป็นอยู่ของชาวบ้านและ ความมีน้ำใจ
ภาพวาดของเหลยเซียงไม่ใช่ภาพทิวทัศน์แต่เป็นภาพ ความเป็นอยู่ของชาวบ้าน “ภาพความเป็นอยู่ของชาว บ้านในที่นี้หมายถึงความมีน้ำใจของผู้คน”
เหลยเซียงมักจะพกสมุดเล่มเล็กๆ ไว้ในกระเป๋า เพื่อ สะดวกต่อการหยิบมาสเก็ตช์ภาพ สิ่งที่น่าสงสัยก็คือ ทำไมเขาต้องวาดภาพ? ขณะวาดภาพเขากำลังคิด อะไร?
เหลยเซียงกล่าวพร้อมกับชี้ไปบนภาพสเก็ตช์ของ พื้นที่รกร้าง และอธิบายว่า บริเวณนี้คือพื้นที่ข้างๆ ของ พิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ไทเป ปัจจุบันเป็นส่วนหนึ่งของสวน สาธารณะฟลอร่าเอ็กซ์โปไทเป (Taipei Expo Park) ในอดีตเคยเป็นที่ตั้งบ้านพักของคณะที่ปรึกษากองทัพ อเมริกัน หลังจากคณะที่ปรึกษาถอนกำลังกลับประเทศ ที่นี่ได้กลายเป็นพื้นที่รกร้าง ในเดือนมีนาคม ค.ศ.1998 เหลยเซียงได้ผ่านมาที่นี่ เขาเห็นหญ้าขึ้นรกสูงทั่วบริเวณ จึงได้วาดภาพเก็บไว้ และเขียนคำบรรยายสั้นๆ ไว้ว่า...
“หากย้อนกลับไปในยุคปี 1960 และ 1970 พื้นที่แห่ง นี้เป็นค่ายทหารอเมริกัน มีลักษณะเป็นบ้านไม้ชั้นเดียว อาณาเขตครอบคลุมไปถึงสโมสรอเมริกันซ่งึ อย่ขู ้างสวน สัตว์หยวนซัน (圓山) ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของแม่น้ำ ค่าย ทหารแห่งนี้ถูกล้อมด้วยกำแพงรอบด้าน มีรั้วกั้นไฟฟ้า แรงสูง มีการลาดตระเวนของทหารรักษาการณ์อย่าง เข้มงวดตลอดทั้งกลางวันและกลางคืน เป็นเขตพื้นที่ที่มี การคุ้มกันอย่างแน่นหนา ปัจจุบันไม่มีคนอยู่อาศัยแล้ว ที่แห่งนี้จึงกลับกลายเป็นพื้นที่รกร้างว่างเปล่าดังเดิม คง เหลือแต่กำแพงสีดำที่ถูกปกคลุมด้วยต้นไม้รกครึ้ม”
หลักฐานประวัติศาสตร์หน้าหนึ่งของ ไต้หวัน
ภาพสเก็ตช์ ชื่อ อาชีพตัดผม ภาพนี้เป็นหลักฐานที่ แสดงให้เห็นถึงประวัติความเป็นมาของอาชีพตัดผมใน ไต้หวัน เหลยเซียงบอกว่า เขาได้เห็นการเปลี่ยนแปลง ที่เกิดขึ้นของอาชีพช่างตัดผมมาตลอดช่วงอายุของเขา ตั้งแต่ยุคสมัยที่มีการใช้เตียงนั่งญี่ปุ่นแบบเรียบง่ายไป จนถึงแบบหรูหรา ซึ่งยังแบ่งออกเป็นร้านตัดผมจริงๆ กับ ร้านตัดผมที่มีบริการทางเพศด้วย เหลยเซียงตัดผมด้วย ตัวเองอยู่พักหนึ่ง แต่ภายหลังเขาได้กลับไปตัดผมที่ร้าน เหมือนเดิม “การวาดภาพแต่ละภาพต้องใช้เวลานาน มากหน่อย แต่จะทำให้ได้ซึมซับกลิ่นอาย ความรู้สึกใน บรรยากาศ เสียงจากรอบด้านมากกว่าการกดชัตเตอร์ เพียงแชะเดียว” เหลยเซียงบอก
แม้ด้วยวัย 77 ปี แต่เหลยเซียงยังไม่หยุดพัก สำหรับ เขา การวาดภาพและการเขียนหนังสือเปรียบเสมือนลม หายใจที่เป็นไปโดยธรรมชาติ “คุณคงไม่สามารถมีชีวิต อยู่ได้ถ้าหากไม่หายใจ ใช่ไหมครับ” เหลยเซียงสะพาย กระเป๋าที่นักเรียนของเขาให้เป็นของขวัญวันเกิดโดยมี ข้อความบนกระเป๋าที่แปลเป็นภาษาไทยว่า “โรงเรียน ประถมหรรษา” (開心國小) เพื่อเตรียมตัวจะออกไป วาดภาพอีกครั้ง
อวี๋ฟูวาดภาพไต้หวันที่เปี่ยมไปด้วย ความผาสุก
นอกจากการเขียนหนังสือแล้ว อวี๋ฟูยังมีความถนัด มากในการวาดภาพเพื่อบันทึกเรื่องราวของไต้หวัน “ภาพวาดแสดงออกได้ชัดเจนกว่าศิลปะรูปแบบอื่นๆ แตล่ ะเสน้ แตล่ ะขดี ในภาพวาดคอื การกลนั่ ออกมาจากใจ ของศิลปิน” คุณอวี๋ฟูกล่าว
อพยพไปอยู่ไถหนาน
“ผมไม่ได้ย้ายบ้าน แต่ถือเป็นการอพยพ” คุณอวี๋ฟู กล่าว การอพยพไปอยู่ไถหนาน เพราะต้องการใช้ชีวิต แบบเรียบง่าย แม้จะเงียบเหงา แต่ทำให้ฝีมือวาดภาพ ไม่ตกและสุขภาพยังคงแข็งแรง ในปีค.ศ.2013 อวี๋ฟูได้ ออกหนังสือภาพประกอบชื่อ “อพยพไปไถหนาน” (移民台南) บันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับอาหารอร่อย เล่า ประสบการณ์ชิมอาหารอร่อยของที่นั่น
“อาหารเช้าที่ไถหนานยอดเยี่ยมมาก ทำให้ผมมีนิสัย ตื่นแต่เช้าโดยปริยาย” ภาพอาหารเช้าของไถหนาน ที่ คณุ อวฟี๋ วู าดเปน็ สดุ ยอดอาหารและเมนเู ลศิ รสในสายตา ของเขา ได้แก่ ซุปเนื้อวัว ซุปลูกชิ้นปลา โจ๊ก บ๊ะจ่างผัก ถั่วลิสง และซุปปลาสด
“อพยพไปไถหนาน” เมื่อวางตลาดแล้วกลายเป็น หนังสือติดอันดับขายดีมาก ทำให้ร้านอาหารที่ถูกแนะนำ ไว้ในหนังสือพลอยขายดีตามไปด้วย บางร้านแม้แต่อวี๋ ฟูเองจะไปกินก็ยังลำบาก เพราะต้องต่อคิวเข้าแถวยาว เหยียด
สุขใจเมื่ออยู่ไถหนาน
อวี๋ฟูเขียนหนังสือภาพวาดเล่มที่ 2 ชื่อ “สุขใจอยู่ไถ หนาน” (樂居台南) เขาได้วาดภาพสถานที่ที่ตัวเองชื่น ชอบ 6 ภาพ สถาปัตยกรรมของตึกบนถนนเก่า 16 หลัง ความงดงามของไถหนานถูกแสดงออกมาอย่างมีมิติและ หลากหลาย
แม้จะเป็นอาหารที่แสนจะธรรมดา แต่อวี๋ฟูก็วาดภาพ ด้วยความพิถีพิถัน “ตอนแรกที่ผมวาดปู วาดอย่างไรก็ไม่ เหมือนจริง ต่อมาจึงควักกระเป๋าไปชิมอีกครั้ง จึงได้รู้ว่าปู มีรูขุมขน” อวี๋ฟูพูดปนเสียงหัวเราะ
หลงั จากทไี่ ดว้ าดภาพอาหารเลศิ รสและสถาปตั ยกรรม ของไต้หวัน อวี๋ฟูพบเรื่องที่น่าใจหาย สถาปัตยกรรมเก่า แก่กำลังสูญหายไปอย่างรวดเร็ว ดังนั้นเขาจึงพุ่งความ สนใจต่อการวาดสิ่งก่อสร้างเก่าแก่
ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา อวี๋ฟูวาดสถาปัตยกรรมเก่า แก่ 100 กว่าหลัง “ไม่เพียงเฉพาะที่ไถหนานเท่านั้น ผม ตระเวนวาดภาพตึกเก่าไปทั่วไต้หวันด้วย โดยเฉพาะส่วน ที่หายไปแล้ว พยายามเติมแต่งส่วนที่หายไปกลับคืนมา เป็นอันดับแรก” อวี๋ฟูบอก
ทำไมจึงมีความสนใจสถาปัตยกรรมเป็นพิเศษ? “สิ่งก่อสร้างไม่ได้เป็นเพียงสถาปัตยกรรม แต่เป็น ประวัติศาสตร์ มันเกี่ยวข้องกับวัฒนธรรมและบุคคล ความเป็นอยู่ประชาชน เช่น โรงแรมข้างทางรถไฟ ทำให้ เรามองเหน็ วา่ โรงแรมในยคุ นนั้ มมี าตรฐานเปน็ อยา่ งไร” @เมืองต้นท้อหลากรสชาติ (桃城著味)
ในปีค.ศ.2015 คุณอวี๋ฟูได้รับเชิญให้เป็นศิลปินประจำ เมืองเจียยี่ เขาทำหน้าที่ตระเวนออกไปบรรยายตามที่ ต่างๆ เขียนบทความ และยังได้วาดอาคารเก่าแก่ 13 หลังที่สูญหายไปแล้ว ให้ปรากฏขึ้นใหม่ รวมทั้งจัดพิมพ์ หนังสือเล่มหนึ่งชื่อ “The Peach City” (桃城著味)
“ชาวเจียยี่กินบะหมี่เย็นจะต้องเติมมายองเนส กิน เต้าฮวยต้องเติมน้ำเต้าหู้ ซอสพริกต้องใช้ตราไก่ เท่านั้น” อวี๋ฟูกล่าวด้วยน้ำเสียงปนหัวเราะเมื่อเล่านิสัย การกินของชาวเจียยี่ อย่างไรก็ตาม เขารู้สึกเสียดาย สถาปัตยกรรมเก่าแก่ของเจียยี่เป็นอย่างมาก “โบราณ สถานในเจียยี่ถูกรื้อทำลายไปมาก หากตึกเก่าทั้ง 13 หลัง ยังอยู่ กิจการท่องเที่ยวเมืองเจียยี่ในปัจจุบันจะรุ่งเรือง กว่านี้มาก”
การวาดสิ่งก่อสร้างไม่ใช่เรื่องง่าย ต้องอาศัยการศึกษา ค้นคว้าและต้องใช้สายตามาก
การวาดอาคารแต่ละหลังใช้เวลาไม่เท่ากัน จุดที่ยาก คือการค้นหาข้อมูล อวี๋ฟูพยายามค้นคว้าหารูปทรง สถาปัตยกรรมจากแหล่งต่าง ๆ
อาคารที่ยังมีอยู่วาดไม่ยาก แต่บางส่วนที่เสียหายหรือ เปลี่ยนไป จะต้องค้นคว้าว่ารูปทรงเดิมเป็นอย่างไร ส่วน ตึกที่ไม่มีอยู่แล้ว อวี๋ฟูพยายามค้นหารูปภาพเดิมเพิ่มจาก สถาบันวิจัยแห่งชาติ (中研院 Academia Sinica) หอสมุดมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (台大) รวมทั้ง พยายามค้นหาภาพจากเหล่าสถาปนิก เพื่อดูว่ารูปร่าง ลักษณะและสีเดิมเป็นอย่างไร?
ทำไมต้องวาดภาพอาคารสิ่งก่อสร้าง? ทำไมต้อง บันทึกเรื่องราวที่ผ่านไป? ภาพวาดเหล่านี้จะเป็น ประโยชน์ต่อพวกเราอย่างไรในอนาคต? และมันจะเป็น ประโยชน์ต่อความคิดความเห็นร่วมกันในการพัฒนา ไต้หวันได้อย่างไร? อวี๋ฟูได้บอกไว้ว่า แม้ว่าอาคารเก่าแก่ ที่สูญสลายไปไม่อาจสร้างกลับมาได้ แต่อยากให้ทุกคนรู้ ว่าสิ่งสวยงามเคยมีอยู่ในอดีต และให้รู้ว่าในอนาคตเรา จะเดินไปในทิศทางใดต่อไป