ด้วยความซื่อตรงและรับผิดชอบ สาวเวียดนามพบรักสุขสมหวังในต่างแดน
ประสบการณ์ทำงานที่ไม่มีความสุขในครั้งแรก ทำให้ฉันสาบานจะไม่มาไต้หวันอีก แต่สภาพครอบครัวบีบคั้น ฉันต้องมาอีกครั้งด้วยน้ำตานองหน้า อาจารย์ฟั่นเหม่ยซิ่ง (范美幸) หญิงชาวเวียดนามเล่าเรื่องในอดีต 10 กว่าปีที่แล้ว ความเจ็บปวดยังเป็นภาพในใจที่ไม่เลือนราง
ก่อนตรุษจีน 1 สัปดาห์ ของปี 2001 ฉันมาทำงานเป็นผู้อนุบาลในไต้หวัน ในตอนนั้นอายุยังไม่ครบ 20 ปี น้ำหนักตัว 40 กิโลกรัม แต่ทุกวันจะต้องตื่นแต่เช้าช่วยนายจ้างจัดเตรียมวัตถุดิบปรุงอาหารในร้านขายข้าวแกง กินข้าวแล้วจะต้องล้างชาม เก็บกวาด และยังต้องดูแลอาม่าที่มีน้ำหนัก 70 กิโลกรัมซึ่งป่วยเป็นอัมพาต ผ่านไปวันแล้ววันเล่า ตื่นแต่เช้าเข้านอนดึกดื่น เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ ประกอบกับไม่เคยชินกับสภาพอากาศ จึงทำให้ทนไม่ไหวและกลับเวียดนามก่อนสัญญาครบกำหนด
เดิมทีคิดว่าจะทำงานอยู่ในเวียดนาม แต่เกิดไฟไหม้ครั้งใหญ่ ครอบครัวตกอยู่ในสภาพสิ้นหวัง เธอจำต้องตัดสินใจขึ้นเครื่องบินมาไต้หวันอีกครั้งด้วยน้ำตานองหน้า แต่ด้วยบุพเพสันนิวาส ชะตาชีวิตพลิกผัน ทำให้เธอเปลี่ยนทัศนะมุมมองใหม่ต่อไต้หวันทั้งหมด
แม้ฉันจะพูดภาษาจีนกลางและภาษาฮกเกี้ยนได้ แต่ในครั้งนี้นายจ้างเป็นชาวฮากกา เนื่องจากมีแรงกดดันด้านภาษาจึงต้องพยายามปรับตัว ทำให้เธอเรียนรู้เร็วจนสื่อสารด้วยภาษาฮากกาได้นายจ้างจึงเอ็นดู ผ่านไปครึ่งปี นายจ้างใจดีให้ยืมเงิน 1 แสนเหรียญไต้หวันส่งให้ทางบ้านซื้อที่ดิน ทำให้คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีความนับถือต่อนายจ้างและซาบซึ้งจากความอาทร จากนั้นนายจ้างได้แนะนำเพื่อนชายให้เธอ แต่เธอมีความสงวนตัวและซื่อตรงรับผิดชอบต่อหน้าที่ ไม่เคยทิ้งอาม่าออกไปเที่ยว เป็นคนที่มีพื้นฐานจิตใจดีกตัญญูทำให้นายจ้างประทับใจ จากนั้น 2 ปี ได้กลายเป็นหลานสะใภ้ของนายจ้าง ผ่านความขมขื่นพบแดนสวรรค์ผาสุกได้ในที่สุด
คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีลูกสาว 2 คน ลูกชาย 1 คน เธอมีความสนใจด้านภาษา ประกอบกับกระทรวงศึกษาธิการจัดหลักสูตรอบรมการสอนภาษาแม่ให้แก่ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ หลังผ่านการอบรมแล้วเธอได้ไปสอนในโรงเรียนประถมศึกษา ในปีนี้ได้มาที่ห้องสมุดวั่งเจี้ยน ช่วยจัดหลักสูตรเรียนภาษาเวียดนาม
คุณฟั่นเหม่ยซิ่งพูดด้วยใบหน้าระบายรอยยิ้มที่เปี่ยมสุข บางทีสามีของฉันพูดขอบคุณฉันด้วยภาษาเวียดนาม ทำให้ฉันรู้สึกสุขใจมาก และแม่สามีก็ใช้ภาษาเวียดนามทักทายกับพ่อแม่เธอด้วย ทำให้เธอรู้สึกประทับใจมาก
แต่ก่อน ได้ยินคนอื่นเรียกฉันว่า สาวเวียดนาม ฉันรู้สึกบาดใจ แต่ตอนนี้ฉันยอมรับได้แล้ว วัฒนธรรมที่แตกต่างกันทำให้พวกเราทำร้ายจิตใจผู้อื่นโดยไม่เจตนา เพราะฉะนั้นฉันจะต้องให้ผู้อื่นรู้จักวัฒนธรรมเวียดนามมากขึ้น เพื่อขจัดความเข้าใจผิดจากความคิดที่ต่างกัน คุณฟั่นเหม่ยซิ่งมีความเชื่อมั่น นี่คือเป้าหมายที่ห้องสมุดวั่งเจี้ยนกำลังทำอยู่