การเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ การใช้ปุ๋ยเคมีในปริมาณมาก รวมทั้งปัญหาดินเสื่อมโทรมจากการใช้สารเคมีเกษตร ส่งผลให้ทั่วโลกเผชิญกับภาวะวิกฤตอาหารโลก อีกทั้งการจัดเก็บขยะอินทรีย์หรือขยะเศษอาหารมาใช้ประโยชน์ยังไม่มีการจัดการที่ดี จึงเป็นการสร้างภาระให้แก่สิ่งแวดล้อมมากขึ้น
หยางชิวจง (楊秋忠) นักวิชาการจากสถาบันวิจัยแห่งชาติไต้หวัน (Academia Sinica) ผู้วางรากฐานให้แก่ “ปุ๋ยจุลินทรีย์” ของไต้หวัน ได้นำ “จุลินทรีย์” มาใช้ในการจัดการขยะอินทรีย์แทนวิธีแบบดั้งเดิมที่ใช้กันมานานหลายพันปี โดย “เอนไซม์เร่งปฏิกิริยา” ถูกนำมาใช้ประโยชน์เพื่อเป็นตัวเร่งปฏิกิริยา นับเป็นการทำปุ๋ยหมักจากขยะอินทรีย์ที่ใช้ระยะเวลาที่สั้นที่สุดในโลกโดยใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น เฉกเช่นเดียวกับคัมภีร์เต๋า “เต้าเต๋อจิง” ที่บันทึกไว้ว่า “มนุษย์ดำเนินชีวิตตามกฎของโลก โลกดำเนินไปตามกฎของสวรรค์ สวรรค์ดำเนินไปตามกฎของเต๋า และเต๋าดำเนินไปตามกฎของธรรมชาติ” ขยะอินทรีย์ที่มีต้นกำเนิดจากผืนดิน ได้ถูกเปลี่ยนสภาพกลายเป็นปุ๋ยอินทรีย์และกลับคืนสู่ดิน ด้วยเหตุนี้ โลกจะสามารถดำรงอยู่ได้ภายใต้วัฏจักรที่มีการหมุนอย่างเป็นระบบ
ยามเช้าก่อนจะถึงเวลา 8.00 น. “รถเก็บขยะเศษอาหาร” คันแล้วคันเล่าของทีมทำความสะอาดประจำนครเถาหยวน ทยอยนำขยะเหล่านี้ส่งตรงไปยังบริษัท HUNG CHIAO ENVIRONMENT-TECHNOLOGY ENGINEERING INC. ซึ่งตั้งอยู่ในเขตกวนอิน ขยะอินทรีย์จะถูกส่งเข้ากระบวนการจัดการแบบกึ่งอัตโนมัติ เริ่มจากการเทเศษอาหารออกจากถังบรรจุโดยเครื่องป้อนอัตโนมัติ กลิ่นเหม็นเปรี้ยวจากเศษอาหารส่งกลิ่นไปทั่ว เศษอาหารจะถูกส่งต่อไปตามสายพาน ผ่านการคัดแยกด้วยแม่เหล็กและคนเพื่อแยกสิ่งของที่ไม่ใช่เศษอาหารออกมา ก่อนจะนำไปเข้ากระบวนการอัดและบีบน้ำออก ทำการเติมจุลินทรีย์และแกลบเผาลงในถังกวน และส่งต่อไปยังเตาปฏิกรณ์ รอประมาณสามชั่วโมง ก็จะได้ปุ๋ยอินทรีย์ที่มีลักษณะชื้นและมีกลิ่นดินอ่อนๆ ออกจากเตา
จางหย่งฉี (張永祺) ผู้เชี่ยวชาญด้านการทำปุ๋ยหมักอินทรีย์บอกว่า การทำปุ๋ยหมักแบบดั้งเดิมต้องใช้เวลาประมาณสามเดือนจึงจะได้กองปุ๋ยหมักที่สามารถนำไปใช้ได้ ตอนนี้มีการนำเอนไซม์มาใช้ในการย่อยสลายเศษอาหารซึ่งใช้เวลาเพียงสามชั่วโมงเท่านั้น เฉลี่ยแล้วภายในหนึ่งชั่วโมงสามารถจัดการขยะเศษอาหารได้ถึงสิบตัน หากคำนวณจากเวลาทำงานแปดชั่วโมงในหนึ่งวัน แต่ละวันจะสามารถจัดการขยะเศษอาหารได้มากถึง 80 ตัน และสามารถผลิตเป็นปุ๋ยอินทรีย์ได้ราว 47-48 ตันเลยทีเดียว
จางหย่งฉีจะนำปุ๋ยอินทรีย์จำนวนหนึ่งในสี่ของปริมาณที่ผลิตได้ มอบคืนให้แก่เกษตรกรที่อยู่ในเขตกวนอินฟรี สวีกุ้ยเปิ่น (徐桂本) หัวหน้าฝ่ายการผลิตและการตลาดผลผลิตข้าว ชุดที่ 2 กล่าวว่า เมื่อนำปุ๋ยอินทรีย์เอนไซม์มาใช้เป็นปุ๋ยหลัก โดยนำไปใส่ให้แตงโมหรือหัวไชเท้า ผลลัพธ์ที่ได้ดีเทียบเท่ากับการใช้ปุ๋ยเคมี
วิธีการทำปุ๋ยหมักโดยใช้เวลาสั้นร่วมกับการประยุกต์ใช้เอนไซม์ เป็นวิธีที่เรียกว่า “การจัดการด้วยเอนไซม์เป้าหมาย” ซึ่งศึกษาค้นคว้าโดย หยางชิวจง ผู้เชี่ยวชาญด้านดิน
พัฒนาเอนไซม์ที่มีโครงสร้างองค์ประกอบแตกต่างกันในการทำปฏิกิริยากับขยะอินทรีย์ชนิดต่าง ๆ เพื่อผลิตปุ๋ยอินทรีย์ที่มีคุณสมบัติไม่เหมือนกัน