จุดเด่นที่เกิดขึ้นจากความธรรมดา
ในปี 2012 กลุ่มฉินเหม่ยได้ซื้อกิจการของสวนสนุกแชงกรีล่า พาราไดซ์ ที่ตั้งอยู่บนพื้นที่ 250 ไร่ ที่ความสูง 50-100 เมตรจากระดับน้ำทะเล ภาพของสวนสวยๆ ที่ถูกสร้างขึ้นผสมผสานเข้ากับป่าธรรมชาติของสวนสนุกที่ตั้งอยู่บนเนินเขาเล็กๆ “เป็นทิวทัศน์ที่เห็นได้ทั่วไปในไต้หวัน” นี่คือความรู้สึกแรกที่คุณม่ายเซิ่งเหว่ย (麥聖偉) ประธานบริหารของสวนสนุกคนปัจจุบันมีต่อสวนสนุกแห่งนี้
ในตอนแรก กลุ่มฉินเหม่ยได้ติดต่อกับสำนักงานสถาปนิกชื่อดังระดับนานาชาติ ที่ใช้เวลาถึง 2 ปีในการออกแบบ ก่อนจะได้คอนเซ็ปต์ออกมาเป็นโครงการรีสอร์ตนานาชาติ ซึ่งมีทั้งสวนดอกไม้ ทะเลสาบขนาดใหญ่ และวิลล่า ซึ่งกลุ่มผู้บริหารต่างก็รู้สึกว่า “ดูแล้วสวยมาก แต่ไม่มีความเกี่ยวพันกับท้องถิ่น” หลังจากที่โปรเจกต์ในการทำรีสอร์ตถูกยกเลิก ทุกอย่างกลับมาสู่จุดเริ่มต้นอีกครั้ง ทางกลุ่มจึงจัดตั้งคณะทำงานขึ้นโดยใช้บุคลากรจากภายในกลุ่มเอง โดยภารกิจในการพัฒนาสวนสนุกแชงกรีล่า พาราไดซ์ได้ถูกมอบหมายให้กับคุณเหอเฉิงอวี้ ประธานกรรมการบริหารของ CMP PUJEN Foundation for Arts and Culture
คุณเหอเฉิงอวี้ใช้เวลาอีกประมาณ 2-3 ปี ในการวางตำแหน่งที่เหมาะสมในตลาดของสวนสนุกแห่งนี้ ก่อนจะติดต่อให้คุณฮิโรชิ นากามูระ สถาปนิกชาวญี่ปุ่นผู้เชี่ยวชาญในการผสมผสานองค์ประกอบของธรรมชาติเข้ากับวัฒนธรรมท้องถิ่นมาเป็นผู้ออกแบบ ซึ่งเหอเฉิงอวี้ได้พาคุณนากามูระไปตระเวนเยี่ยมชมสถาปัตยกรรมแบบฮากกาและดูงานหัตถศิลป์ท้องถิ่นทั่วเมืองเหมียวลี่ และหลังจากที่ได้ปรึกษากันแล้ว คุณนากามูระได้เสนอแนวคิดสำหรับการออกแบบสวนสนุกแห่งนี้ใน 3 แนวทาง คือ จิตวิญญาณแห่งช่างพื้นเมือง ความยั่งยืนของธรรมชาติ และปรัชญาแห่งการใช้ชีวิต “ฟังแล้วมันช่างยิ่งใหญ่ แต่ฟังไม่รู้เรื่อง ถ้าอยากจะรู้ก็ต้องลงมือทำจริงๆ” เหอเฉิงอวี้บอกกับเราพร้อมเสียงหัวเราะ
หลังจากรื้อสวนดอกไม้ทรงยุโรปที่ถือเป็นแลนด์มาร์กของสวนสนุกแชงกรีล่า พาราไดซ์ออกไป พื้นที่ถูกปรับเปลี่ยนให้กลายเป็นสนามหญ้าขนาดใหญ่ เหอเฉิงอวี้ได้เสนอไอเดียที่จะทำเต็นท์ที่พักระดับพรีเมียม ก่อนจะขอให้อาจารย์หวังเหวินจื้อ (王文志) นักออกแบบงานศิลปะประดับสถานที่ มาออกแบบ “Bamboo Woven Sky” ซึ่งอาจารย์หวังเหวินจื้อใช้เวลากว่า 40 วัน ในการนำเอาลำไม้ไผ่กว่า 5,000 ท่อน มาทำเป็นโดมไม้ไผ่ขนาดยักษ์ 2 โดม ซึ่งมีทางเดินไม้ไผ่เชื่อมต่อระหว่างกัน โดยงานศิลปะชิ้นนี้สื่อถึงความรู้สึกที่เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของทีมงาน และยังแสดงให้เห็นถึงความตั้งใจจริงที่จะผลักดันวัฒนธรรมท้องถิ่น พร้อมตั้งชื่อพื้นที่โซนนี้ว่า “ซานน่าชุน” ที่มาจากภาษาฮากกาซึ่งหมายถึงป่าเขาลำเนาไพร ถือเป็นการเปิดฉากสำหรับโครงการ CMP Village ไปในตัว
เมื่อเดินเข้าไปในหมู่บ้านของ CMP Village จะพบว่า ที่นี่มีอุปกรณ์ทุกอย่างอยู่เพียบพร้อมและครบครัน เต็นท์หรูหราที่ถูกออกแบบมาอย่างดี คือหนึ่งในความน่าสนใจของโปรเจกต์นี้ที่ทางทีมงานได้วางแผนมาเป็นอย่างดี เช่น “ห้างแห่งขุนเขา” ที่ใช้ของที่มีอยู่ตามธรรมชาติภายในสวนมาแทนเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ ใบสนคือกระดาษชำระจากธรรมชาติ ก้านของขึ้นฉ่ายสามารถนำมาทำเป็นหลอด ใบปาล์มเล็กๆ สามารถนำมาทำเป็นพัด เมื่อเราเดินสำรวจไปตามแผนที่ก็จะพบว่า ธรรมชาติก็เหมือนกับเป็นห้างใหญ่ๆ ที่น่าเข้าไปเดินเล่นเป็นที่สุด
สวนสนุกที่มีเครื่องเล่นต่างๆ เป็นตัวชูโรง เมื่อเวลาผ่านไปนานๆ เข้า ผู้คนก็จะไม่รู้สึกถึงความแปลกใหม่อีก “แต่ธรรมชาติและวัฒนธรรมกลับต้องอาศัยการสะสมของวันเวลา ยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งรู้สึกว่ามีความหมายมากเท่านั้น เราจึงใช้แนวคิดในแบบนี้มาบริหาร CMP Village” เหอเฉิงอวี้กล่าว โดย CMP ในภาษาจีนคือ “勤美學 (ฉินเหม่ยเสวีย)” สามารถแบ่งคำได้เป็น “勤美‧學 (ฉินเหม่ย เสวีย)” สื่อความหมายได้ว่า กลุ่มฉินเหม่ย เรียนรู้จากแผ่นดินของที่นี่ และยังแบ่งคำออกเป็น “勤‧美學 (ฉิน เหม่ยเสวีย)” ที่สื่อถึงความขยันขันแข็ง ซึ่งเป็นจริยธรรมอันดีงามของชนชาวฮากกาได้ด้วย