อ.ผูเทียนเซิง (蒲添生) ทำงานอย่างขันแข็งทั้งๆ ที่ยังป่วย อยู่ในห้องทำงานที่เพดานยกสูงถึง 7.5 เมตร เพื่อแกะสลักประติมากรรมที่ทำขึ้นเพื่อรำลึกถึงหลินจิ้งเจวียน (林靖娟) คุณครูโรงเรียนอนุบาลที่ช่วยชีวิตนักเรียนจากเหตุเพลิงไหม้จนตัวตาย อ.หลี่หลินชิว
(李臨秋) เก็บตัวอยู่ในบ้านสไตล์หมิ่นหนาน มีเพียงสุราและดอกราตรีอยู่เป็นเพื่อน ก่อนจะประพันธ์เพลงอมตะอย่างเพลงวั่งชุนฟง 《望春風 : รอสายลมฤดูใบไม้ผลิ》อันโด่งดัง อ.ไช่รุ่ยเยว่ (蔡瑞月) ผู้ออกแบบระบำชุดที่สามารถสื่อถึงความเป็นไต้หวันได้อย่างลงตัว ในสตูดิโอที่เป็นพื้นไม้ สถานที่ซึ่งเหล่าศิลปินอาวุโสคนดังเคยอยู่อาศัยเมื่อวันวานนี้ ต่างก็ได้บันทึกร่องรอยของพวกท่านเอาไว้ เพื่อให้อนุชนรุ่นหลังได้หวนรำลึกถึงอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
บ้านพักเก่าของผูเทียนเซิง ประติมากรชื่อดัง ผู้ใช้ประติมากรรมบันทึกเรื่องราวของไต้หวัน
เมื่อเลี้ยวเข้าไปในซอย 9 ของถนนหลินเซินเป่ยลู่ กลางกรุงไทเป (台北市林森北路) ก็จะมองเห็นรูปปั้นอู๋ฟ่ง (吳鳳) ขี่ม้าที่อยู่สูงกว่ารั้วเกือบ 1 เมตร ที่นี่เคยเป็นบ้านพักของอ.ผูเทียนเซิง (ค.ศ.1912-1996) ซึ่งเป็นหนึ่งในศิลปินอาวุโสคนสำคัญของไต้หวัน ปัจจุบันได้กลายมาเป็นหอรำลึกงานประติมากรรมผูเทียนเซิง โดยอ.ผูเทียนเซิงได้ร่ำเรียนวิชามาจาก อ.อาซากุระ ฟูมิโอะ หนึ่งในปรมาจารย์ด้านงานประติมากรรมร่วมสมัยของญี่ปุ่น ก่อนจะเดินทางกลับมาไต้หวันในปี 1941 ภายใต้การชักนำของพ่อตา คือคุณเฉินเฉิงโป (陳澄波) ทำให้ท่านได้เป็นศิลปินไต้หวันคนแรกที่หล่อประติมากรรมรูปดร.ซุนยัดเซ็นขึ้น
ในขณะนั้น บรรยากาศทางการเมืองในไต้หวันค่อนข้างตึงเครียด แต่อ.ผูเทียนเซิงก็ไม่ยอมละทิ้งแนวคิดที่ยืนหยัดต่องานศิลปะ ไม่กลัวแม้จะมีภัยคุกคามถึงชีวิต กล้าขัดขืนคำสั่งโดยไม่ยอมทำหมวกทหารให้รูปหล่อของอดีตประธานาธิบดีเจียงไคเช็คในชุดเครื่องแบบทหาร หลังจากที่พ่อตาคือคุณเฉินเฉิงโปเสียชีวิตจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ (ในไต้หวันนิยมเรียกเหตุการณ์ 228) แม้จะอยู่ในฐานะของครอบครัวผู้เสียชีวิต หากแต่ในยุคที่พลเมืองไม่มีสิทธิ์มีเสียงมากนัก จึงทำได้เพียงกล้ำกลืนฝืนทน และใช้งานศิลปะของท่านมารับมือกับการใส่ร้ายและความเข้าใจผิดจากคนรอบข้าง แต่กระนั้น บางทีชีวิตของศิลปินก็จำเป็นต้องยอมแพ้ต่อสภาพความเป็นจริงอันโหดร้ายในการหาเลี้ยงปากท้อง ท่านจึงต้องอาศัยการทำรูปปั้นครึ่งตัวให้แก่เหล่านักการเมือง นักธุรกิจ และบุคคลที่มีชื่อเสียงในสังคม เพื่อหาเลี้ยงลูกๆ ที่อยู่ในวัยกำลังกินกำลังนอนถึง 6 คนด้วยกัน
คุณผูเห้าจื้อ (蒲浩志) ซึ่งเป็นบุตรคนที่ 3 ได้ใช้ชีวิตหลังเกษียณอายุในการบริหารหอรำลึกแห่งนี้ จากเด็กคนที่เคยขโมยตราประทับของคุณพ่อเพื่อแก้ไขตัวเลือกคณะวิชาในการเรียนต่อ เขาถูกคุณพ่อบังคับให้เรียนในคณะวิศวกรรมศาสตร์ ก่อนจะเข้าทำงานเป็นเวลานานถึง 31 ปีใน CTCI ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้างของไต้หวัน เขาได้บอกกับเราว่า "บางทีชีวิตเราก็เหมือนเป็นไปตามลิขิตฟ้า ผมทำงานด้านการออกแบบมา 15 ปี และมีประสบการณ์ในงานขายมา 16 ปี ทำให้ผมเหมาะที่จะรับหน้าที่เป็นผู้อำนวยการหอรำลึก มากกว่าสมาชิกคนอื่นของบ้านตระกูลผู"
คุณผูเห้าจื้อใช้เวลา 5 เดือนในการจัดการผลงานของคุณพ่อให้เป็นระเบียบ ก่อนจะดัดแปลงบ้านพักเก่าของท่านให้กลายมาเป็นหอรำลึกและเปิดให้บุคคลทั่วไปเข้าชม เพื่อจัดแสดงผลงานของท่าน ไม่ว่าจะเป็นภาพวาด เก้าอี้โยกที่ท่านชอบ และเบียร์ไต้หวันที่ท่านชอบหยิบขึ้นมาจิบในทุกๆ วัน โดยคุณผูเห้าจื้อยังได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยไทเปในการเปิดคอร์สสอนการทำประติมากรรมขั้นพื้นฐานสำหรับคนตาบอด เพื่อสอนความรู้เบื้องต้นในการทำงานแกะสลักให้แก่นักศึกษา และยังได้เข้าเจรจากับพิพิธภัณฑ์ฉีเหม่ย (奇美博物館) ให้นำผลงานชุด "ออกกำลังกาย" 《運動系列 ñ ยุ่นต้งซี่เลี่ย》ของคุณพ่อไปเก็บสะสม ก่อนที่จะนำผลงานของคุณพ่อซึ่งมีชื่อว่า "กวี"《詩人 - ซือเหริน》กลับมาสร้างใหม่ โดยใช้วิธีเหมือนกับใช้มีดตัดลงไป จนเหลือเพียงส่วนศีรษะของกวีและมือที่ค้ำเอาไว้ แต่ยังคงไว้ซึ่งความสมดุลอย่างน่าอัศจรรย์ ก่อนจะทำให้ชิ้นงานใหญ่ขึ้น จนมาเป็นผลงานที่มีความสูงถึง 2 เมตร และตั้งชื่อว่า "บางส่วนของกวี" 《詩人局部 - ซือเหรินจวี๋ปู้》ซึ่งปัจจุบันนี้ได้กลายมาเป็นงานศิลปะสาธารณะ ที่ตั้งอยู่ในมหาวิทยาลัยเฉิงกง วิทยาเขตกวงฟู่
และหลังจากที่หอรำลึกเปิดบริการมาได้ 4 ปี คุณผูเห้าจื้อก็ได้รับผลตอบแทนกลับคืนเล็กๆ น้อยๆ จากการที่บนแผนที่ของรถไฟฟ้าไทเป สถานีวัดซ่านเต่าซื่อ ได้มีป้ายบอกทางไปยังบ้านพักเก่าของผูเทียนเซิง 「蒲添生故居」ซึ่งทำให้คุณผูดีใจเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ทางบ้านตระกูลผูยังมีโครงการที่น่าสนใจอีกหลายอย่าง ทั้งการก่อตั้งหอศิลปะและสวนประติมากรรม ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการวางแผน และเชื่อว่าคงมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ตั้งหน้าตั้งตารอคอยการถือกำเนิดของโครงการเหล่านี้อยู่
บ้านพักเก่า อ.หลี่หลินชิว กวีคนดัง ผู้ร่ำสุรายามราตรีและประพันธ์เพลง
วั่งชุนฟง 《望春風ñ รอสายลมฤดูใบไม้ผลิ》
"ค่ำคืนอันเดียวดายใต้โคมไฟ สายลมใบไม้ผลิโชยพัดหวน
สิบแปดแล้วยังไร้คู่สุดรัญจวน แสนคร่ำครวญยามได้ยลเรือนยุวาน..."
นี่คือบทเพลงอมตะชื่อดังของไต้หวันที่มาจากปลายปากกาของกวีชื่อดังแห่งยุคอย่างอ.หลี่หลินชิว (ค.ศ.1909-1979) เป็นบทเพลงที่บรรยายถึงความรู้สึกของสาวน้อยที่เฝ้ารอคอยความรักด้วยความรู้สึกอันกระดากอายและขวยเขิน ซึ่งได้ถ่ายทอดกันมาหลายต่อหลายยุคแล้ว บ้านพักเก่าของอ.หลี่หลินชิวตั้งอยู่บนถนนซีหนิงหนานลู่ (西寧南路) ใกล้กับย่านซีเหมินติง ปัจจุบันยังเก็บรักษาอยู่ในสภาพเดิมโดยอยู่ภายใต้การดูแลของคุณหลี่ซิวเจี้ยน (李修鑑) ซึ่งเป็นบุตรชายคนที่ 6 ของท่าน บันไดไม้แคบๆ จะมีเสียงเอี๊ยดอ๊าดยามที่เราเหยียบลงไป สีเขียวของมอสและตะไคร่น้ำที่จับอยู่บนกำแพงราวกับเป็นภาพวาดแห่งธรรมชาติ ของใช้ในชีวิตประจำวันหลายอย่างที่เก็บรักษาไว้ ถือเป็นสิ่งที่ช่วยให้เราได้เข้าใจถึงวิถีชีวิตของผู้คนเมื่อวันวานได้เป็นอย่างดี
เมื่อเรานั่งลงล้อมโต๊ะที่อ.หลี่หลินชิวใช้ในการแต่งเพลงวั่งชุนฟงในตอนนั้น คุณหลี่ซิวเจี้ยนได้พูดถึงธรรมเนียมปฏิบัติของคุณพ่อในการแต่งเพลงว่า หากคุณแม่ไปตลาดซื้อสุราและดอกราตรีมาเมื่อไหร่ ลูกๆ ก็จะรู้ทันทีว่า ในคืนนั้นคุณพ่อจะนั่งแต่งเพลง ทุกคนจะต้องรีบอาบน้ำเข้านอนโดยเร็ว มีเพียงปากกาหัวแร้ง 1 ด้าม กับสุราหงลู่ (紅露酒) ที่ท่านชอบที่สุดอยู่เป็นเพื่อน ท่านก็จะนำเอาสิ่งที่ได้ยินได้ฟังรอบๆ ตัว มาถ่ายทอดเป็นตัวอักษรได้อย่างไพเราะจับใจ
อ.หลี่หลินชิวเติบโตมาในยุคปี 1930 ในแถบต้าเต้าเฉิง (ปัจจุบันเป็นพื้นที่ตะวันตกเฉียงใต้ของเขตต้าถง กรุงไทเป) ถือเป็นยุครุ่งเรืองและเป็นยุคที่แนวคิดเกี่ยวกับสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคถูกปลูกฝังอยู่ในความคิดของคนรุ่นใหม่ในสมัยนั้นเป็นอย่างมาก เพลงวั่งชุนฟงที่ท่านแต่งขึ้นในปีค.ศ. 1933 ขณะที่อายุ 25 ปี ได้บรรยายถึงสภาพสังคมยุคเก่าที่มีความไม่เท่าเทียมระหว่างชายหญิง ไม่สามารถตัดสินใจเรื่องการแต่งงานได้เอง และการเฝ้ารอคอยความรักของหญิงสาว บทเพลงปู่พั่วหวั่ง 《補破網 : ซ่อมแหขาด》ซึ่งแต่งขึ้นในปีค.ศ.1947 อันเป็นปีที่เกิดเหตุโศกนาฏกรรมเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ ซึ่งสร้างความแตกแยกอย่างหนักในสังคมไต้หวัน ในบทเพลงนี้ก็ได้แฝงนัยที่เกี่ยวข้อง เพื่อบันทึกถึงเรื่องราวในประวัติศาสตร์ของไต้หวันในช่วงนั้นไว้
"งดงามสามส่วน เรียบง่ายเจ็ดส่วน" คือสไตล์การแต่งเพลงของอ.หลี่หลินชิว พื้นฐานทางภาษาจีนที่ดีพร้อมเป็นสิ่งที่ได้รับการอบรมสั่งสอนจากทางบ้าน แต่การแต่งเพลงเพื่อคนทั่วไปมาจากความห่วงใยต่อสังคมของท่าน ปีค.ศ.2009 เป็นปีที่ครบรอบปีที่ 100 ที่ท่านเกิด ในสวนสาธารณะต้าเต้าเฉิงมีรูปปั้นของอ.หลี่หลินชิวที่คุณหลี่ซิวเจี้ยนสร้างขึ้นเพื่ออุทิศให้แก่คุณพ่อ โดยใช้บรรยากาศจากเพลงวั่งชุนฟง รูปปั้นที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ยาวริมแม่น้ำตั้นสุ่ย ดูราวกับจะนั่งชมอาทิตย์อัสดงไปด้วย แต่งเพลงไปด้วย โดยคุณหลี่ซิวเจี้ยนตั้งใจทำให้รูปปั้นมีความสูงในระดับที่ผู้คนสามารถเข้าถึงได้ง่าย และหลังจากตั้งรูปปั้นแล้ว ก็มักจะมีเด็กๆ ขึ้นไปขี่บนหลังของรูปปั้นอ.หลี่หลินชิวอยู่เสมอ ถือเป็นภาพสะท้อนที่สอดคล้องไปกับความเรียบง่ายในเพลงของท่านที่เข้าถึงผู้คนได้ทุกหมู่เหล่าอย่างทั่วถึง
บ้านพักเก่าอ.ไช่รุ่ยเยว่ นักเต้นระดับตำนาน ที่ชีวิตนี้คิดแต่จะเต้นรำ
ในซอยเล็กๆ บนถนนจงซานเป่ยลู่ตอนที่ 2 (中山北路二段) ในกรุงไทเป มีบ้านสไตล์ญี่ปุ่นหลังคาสีดำๆ อยู่หลังหนึ่ง ซึ่งก็คือบ้านพักเก่าของอ.ไช่รุ่ยเยว่ (ค.ศ.1921-2005) ผู้บุกเบิกการเต้นรำสมัยใหม่ของไต้หวัน ท่านเคยอาศัยอยู่ที่นี่ ฝึกซ้อมเต้นรำ ออกแบบท่าเต้น และเปิดประตูสู่การเต้นรำยุคใหม่ให้สังคมไต้หวันได้รู้จัก
อ.ไช่เดินทางไปเรียนด้านการเต้นรำสมัยใหม่ที่ญี่ปุ่นขณะที่อายุเพียง 16 ปี และมีโอกาสได้รู้จักกับการเต้นรำระดับโลกจากที่นั่น หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุดลง ท่านได้เดินทางกลับมาไต้หวัน ซึ่งระหว่างที่อยู่บนเรือ ท่านได้ออกแบบระบำชุดบทเพลงแห่งอินเดีย《印度之歌 ñ อิ้นตู้จือเกอ》 และชุดเรารักไต้หวันของเรา《咱愛咱台灣 ñ จ๋าอ้ายจ๋าไถวัน》 ซึ่งเป็นระบำสมัยใหม่ชุดแรกๆ ที่คนไต้หวันมีโอกาสได้ชม
ภายหลังกลับมาไต้หวันแล้ว บรรยากาศของประเทศในช่วงนั้นเต็มไปด้วยความเปลี่ยนแปลงและไม่แน่นอน จนทำให้คุณเหลยสืออวี๋ (雷石榆) สามีสุดที่รักของท่านถูกส่งตัวกลับจีนแผ่นดินใหญ่ด้วยเหตุผลทางการเมือง ในขณะที่ตัวท่านเองก็ต้องโทษจำคุก และหลังจากพ้นโทษแล้ว ท่านยังคงมีความรักในการเต้นรำอย่างไม่เสื่อมคลาย จึงอาศัยการสอนเต้นรำในการหาเลี้ยงชีพ และไม่หยุดยั้งในการสร้างสรรค์ผลงาน โดยนำเอาประสบการณ์ชีวิตมาแต่งเติมเข้าเป็นระบำชุดต่างๆ แต่การถูกสอดส่องอย่างใกล้ชิดจากทางการอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ในที่สุดอ.ไช่ตัดสินใจพาบุตรชายย้ายไปพำนักที่ประเทศออสเตรเลีย
เรื่องราวยังไม่จบเพียงแค่นั้น ในปีค.ศ.1994 ทางกรุงไทเปมีแผนจะรื้อถอนสตูดิโอเก่าที่ใช้ในการสอนเต้นรำของอ.ไช่รุ่ยเยว่แห่งนี้ แต่ถูกผู้คนในแวดวงวัฒนธรรมคัดค้านอย่างหนัก โดยร่วมกันเรียกร้องให้กรุงไทเปเก็บรักษาอาคารแห่งประวัติศาสตร์แห่งนี้เอาไว้ แต่ในคืนก่อนถึงวันประกาศขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถาน อาคารแห่งนี้กลับถูกคนลอบวางเพลิง ซึ่งอ.ไช่ได้กล่าวหลังจากที่เห็นสภาพบ้านพักและสตูดิโอสอนเต้นรำของท่านถูกเผาจนไหม้เกรียมว่า "รู้สึกเหมือนสูญเสียลูกสาวไปคนหนึ่ง"
แต่อ.ไช่รุ่ยเยว่ก็ยังคงสอนลูกศิษย์ให้เต้นระบำชุดบทเพลงแห่งอินเดียในสตูดิโอที่ถูกไฟไหม้แห่งนี้ต่อไป โดยมีคุณจันเทียนเจิน (詹天甄) เป็นหนึ่งในนักเต้นที่มาเรียนด้วย คุณจันย้อนรำลึกถึงความหลังว่า มีอยู่วันหนึ่ง อ.ไช่รุ่ยเยว่ที่อายุ 80 ปีแล้ว จู่ๆ ก็เกิดรู้สึกอยากจะเต้นรำขึ้นมา ท่านจึงได้หมุนตัวไปบนท้องถนน ความรู้สึกที่ว่า ชีวิตนี้คิดเพียงอยากจะเต้นรำ สร้างความประทับใจให้คุณจันเทียนเจินที่ขณะนั้นยังเป็นวัยรุ่นอยู่เป็นอย่างมาก
อ.ไช่รุ่ยเยว่ถึงแก่อสัญกรรมในปีค.ศ.2005 แต่การบูรณปฏิสังขรณ์บ้านพักและสตูดิโอเก่าของท่านไม่สามารถสำเร็จก่อนที่ท่านจะจากไป ก่อนที่ในปีค.ศ.2007 บรรดานักเต้นรำรุ่นหลังจะได้พร้อมใจกันหยิบเอาชื่อระบำชุด "เรือนจำกับกุหลาบ"《牢獄與玫瑰 : เหลาอวี้อวี่เหมยกุย》ที่มีชื่อเสียงของท่าน มาใช้ในการตั้งชื่อให้บ้านพักเก่าแห่งนี้ว่า "โบราณสถานแห่งกุหลาบ" 「玫瑰古蹟 : เหมยกุยกู่จี」 อันเป็นชื่อที่สื่อให้เห็นถึงความกล้าหาญและเหมาะสมกับการเป็นชื่อของฐานสำคัญของวงการเต้นรำแห่งนี้เป็นอย่างดี
โดยในปีแรกที่เปิดทำการใหม่ ทางมูลนิธิได้จัดเทศกาลเต้นรำนานาชาติไช่รุ่ยเยว่และงานสัมมนาด้านวัฒนธรรมไช่รุ่ยเยว่ขึ้น โดยให้ความสำคัญต่อการแก้ไขกฎหมายที่ล้าสมัย การสร้างความยุติธรรมให้แก่สังคม และการปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน อีกทั้งยังได้นำเอาการเต้นรำมาใช้ปลอบประโลมความเสียใจที่เกิดขึ้นจากความสูญเสียในเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นด้วย