นวัตกรรมใหม่ที่แฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมเก่า
คุณเฉาหมิงจงและคุณองเจียอินต่างเห็นพ้องกันว่า การก่อตัวขึ้นของวัฒนธรรมการกินจะต้องผ่านขั้นตอนและระยะเวลาที่ยาวนาน จาก “ไม่เคยมีมาก่อน” จนถึง “การก่อตัวขึ้น” ไม่ใช่ฝีมือของใครคนหนึ่งหรือผู้ประกอบการรายใดรายหนึ่งเพียงลำพัง แม้แต่ชานมไข่มุกที่มีชื่อเสียงก้องโลก นอกจากผู้ที่ริเริ่มนำไข่มุกผสมลงไปในชาดำหรือชานมเป็นคนแรกแล้ว ยังต้องยกความดีความชอบให้แก่การคิดค้นสูตรชาเย็น (ชาดำเย็น) ในทศวรรษที่ 1980 และไข่มุกที่ทำจากแป้งมันสำปะหลังซึ่งเป็นอาหารท้องถิ่นที่พบเห็นทั่วไปในไต้หวันตั้งแต่สมัยโบราณ
วัฒนธรรมการดื่มชาของชาวจีนมีประวัติความเป็นมาที่ยาวนาน แต่ส่วนใหญ่เป็นการดื่มชาร้อน การอพยพเข้ามาอาศัยอยู่ในไต้หวันที่มีสภาพภูมิอากาศร้อนอบอ้าว ทำให้เหล่าบรรพบุรุษต้องคิดค้นสูตรชาเย็นขึ้นมาเพื่อแก้อาการกระหายน้ำในช่วงฤดูร้อน ส่วนไข่มุกหรือเม็ดสาคูเป็นอาหารพื้นถิ่นของไต้หวันที่ได้รับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในยุคที่ฮอลแลนด์ปกครองไต้หวัน มีชาวจีนนำสาคูเข้ามายังไต้หวัน หลังศตวรรษที่ 18 มีการพัฒนามาเป็น “เฟิ่นหยวน (粉圓) หรือ ไข่มุก” ที่ทำจากแป้งมันเทศและแป้งมันสำปะหลัง
หากพูดกันตามความเป็นจริง ประวัติศาสตร์อาหารมีความลุ่มลึกมาก ไม่มีอาหารชนิดใดที่จู่ ๆ ก็ปรากฏขึ้นมาบนโลกใบนี้ เบื้องหลังจะต้องมีเรื่องราวมากมายที่ยังไม่ได้รับการเปิดเผย คุณองเจียอินแสดงความเห็นว่า “อาหารการกินเป็นผลจากวิวัฒนาการทางโครงสร้าง ที่ต้องใช้เวลายาวนาน หากจะบอกว่า มีใครบางคนเป็นผู้นำอาหารชนิดหนึ่งเข้ามา ควรจะพูดว่า เกิดจากการสร้างสรรค์อย่างต่อเนื่องของวีรบุรุษนิรนามจำนวนมาก จะเหมาะสมกว่า”
ภาพรวมของอาหารการกินของไต้หวันนับจากอดีตจนถึงปัจจุบัน คุณเฉาหมิงจงสรุปโดยย่อว่า “อาหารการกินของไต้หวันคือ นวัตกรรมใหม่ที่แฝงไว้ด้วยวัฒนธรรมเก่า” ความใจกว้างเปิดรับสิ่งใหม่ ๆ จากทั่วทุกมุมโลกและการอัดฉีดพลังใหม่เข้าไปอย่างต่อเนื่อง ถือเป็นการกระตุ้นศักยภาพในการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ที่ทำให้ผู้คนตื่นตะลึง และทำให้ไต้หวันค่อย ๆ ก้าวสู่การเป็นสวรรค์ของนักชิม
พลังอันสดใสเช่นนี้ยังคงมีอยู่จนถึงปัจจุบัน หากท่านไปเดินตลาดกลางคืนของไต้หวันสักครั้ง จะได้เห็นไก่ทอดโรยสาหร่ายผง มัสตาร์ดผง ราดซอสหวาน หรือสอดไส้ชีส โรตีต้นหอมผสมใบโหระพา หมูแฮม หรือผักกาดดอง เครปไส้เป็ดรมควัน เนื้อหอย หรือขนมสายไหม กลไกตลาดจะทำให้อาหารเหล่านี้มีโอกาสกลายเป็นเมนูอาหารคลาสสิกที่ถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์
แม้จะขาดเอกลักษณ์ที่จะทำให้ผู้คนจดจำได้ในทันทีที่พบเห็น “แต่การไม่มีเอกลักษณ์ ก็คือเอกลักษณ์อย่างหนึ่ง” คุณองเจียอิน กล่าว เขามองว่า วัฒนธรรมการกินในไต้หวันยังอยู่ระหว่างการพัฒนา ประหนึ่งดังประวัติศาสตร์ที่ล่วงเลยมาเป็นเวลาหลายร้อยปี ภายใต้การเปลี่ยนแปลงยังต้องมีการคิดค้น ปั้นแต่งและบูรณาการอย่างต่อเนื่องต่อไป
อาหารว่างหรือของกินเล่นแสนอร่อยและราคาถูกที่พบเห็นทั่วไป สะท้อนถึงภูมิหลังของไต้หวันที่เป็นสังคมของผู้ย้ายถิ่น