Rifat Karlova หรือในชื่อภาษาจีนว่า อู๋ฟ่ง (吳鳳) เป็นชาวตุรกี เขาเคยได้รับรางวัลระฆังทองคำ (Golden Bell Award) ในสาขาพิธีกรรายการท่องเที่ยวยอดเยี่ยม การผันตัวเองจากการเป็นนักเรียนต่างชาติ นักแสดงประกอบ พิธีกรภาคสนาม ลูกเขยไต้หวัน จนกระทั่งวันนี้ได้รับบัตรประชาชนและเป็นพลเมืองไต้หวันโดยสมบูรณ์ การสื่อสารผ่านวิธีการของคุณ Rifat ทำให้คนไต้หวันเข้าใจในความเป็นไต้หวันมากขึ้น พร้อมหันมาร่วมกันสำรวจความงดงามของผืนแผ่นดินแห่งนี้มากขึ้นเช่นกัน
หลังเสร็จสิ้นการสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ เขาก็พูดขึ้นมาอย่างสุภาพว่า “เพื่อนๆ ขอโทษที่ทำให้ทุกคนรอนาน เพราะนานๆ ทีจึงจะมีเวลาว่าง ก็เลยจัดตารางให้สัมภาษณ์คู่พร้อมกันไปเลย ถือว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว” ช่างเป็นชาวต่างชาติที่พูดสำนวนสุภาษิตจีนออกมาได้อย่างเป็นธรรมชาติจริงๆ
มุ่งมั่นมายังไต้หวัน เพื่อสานต่อความฝัน
ในปีค.ศ.2002 Rifat ศึกษาในสาขาวิชาจีนศึกษา ที่มหาวิทยาลัยอังการา ประเทศตุรกี ตอนเรียนอยู่ชั้นปีที่ 1 ก็ตัดสินใจว่าจะต้องขอทุนการศึกษาจากกระทรวงศึกษาธิการไต้หวัน เพื่อเดินทางมาศึกษาต่อยังไต้หวันให้ได้ และเพื่อสร้างความเข้าใจถึงเรื่องราวต่างๆ ในไต้หวัน Rifat จึงเดินเข้าไปสำนักตัวแทนไต้หวันประจำตุรกีและบอกว่าเขาอยากรู้จักคนไต้หวัน ในการรับประทานอาหารครั้งหนึ่ง Rifat ได้มีโอกาสทำความรู้จักเพื่อนใหม่ ที่มาจากไต้หวันหลายคน นอกจากจะได้แลกเปลี่ยนภาษากันแล้ว พวกเขายังมีโอกาสเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน พอถึงช่วงตรุษจีน คุณ Rifat ก็ชวนเพื่อนชาวไต้หวันมาร่วมฉลองที่บ้าน เพื่อบรรเทาความคิดถึงบ้านให้กับ คนที่ต้องจากบ้านไปอยู่แดนไกล
Rifat สมัครชิงทุนได้สำเร็จเมื่อเดือนสิงหาคม ค.ศ.2006 และได้เดินทางมาเยือนไต้หวันครั้งแรก อากาศร้อน! ถือเป็นสิ่งแรกที่ Rifat สัมผัสเมื่อมาถึงไต้หวัน ส่วน “ไมตรีจิต” ก็เป็นอีกสิ่งที่เขาประทับใจ
หลังมาเรียนภาษาจีนในไต้หวันได้ 1 ปี Rifat ก็สมัครเรียนต่อระดับปริญญาโทสาขารัฐศาสตร์ ที่มหาวิทยาลัยครูแห่งชาติไต้หวัน (National Taiwan Normal University: NTNU) Rifat เขียนวิทยานิพนธ์ในหัวข้อ “การพัฒนากองทัพสู่ยุคใหม่ของกองทัพจีนภายใต้ความเคลื่อนไหวเพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งกับอิทธิพลของหลี่หงจาง” ที่ทำให้คนเกิดความสงสัย เขากล่าวว่า “ต้องทำความเข้าใจประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ชิงตอนปลาย จึงจะสามารถเข้าใจถึงความเป็นไต้หวันในปัจจุบัน” Rifat ใช้เวลาสองปีศึกษาในมหาวิทยาลัย และอีกสองปีในการศึกษาค้นคว้าด้วยตนเอง เขาอ่านหนังสือและวรรณกรรมหลายร้อยเล่ม ปรึกษาหารือกับอาจารย์อย่างต่อเนื่องจนสามารถขยายเนื้อหาของวิทยานิพนธ์เป็นภาษาตุรกีชื่อว่า “ประวัติศาสตร์จีนยุคใหม่” ซึ่งมีการตีพิมพ์ในตุรกีด้วย
กล้ายืนหยัดในอุตสาหกรรมบันเทิง
ในระหว่างการศึกษาระดับปริญญาโท Rifat ได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของไต้หวันในเชิงลึก เพิ่มเติมจากนอกห้องเรียน ทั้งอาหารไต้หวันอันแสนอร่อย ความสงบสุขของสังคม และสภาพแวดล้อมที่เหมาะแก่การอยู่อาศัย ยิ่งรู้จักไต้หวันมากขึ้น Rifat ก็ยิ่งหลงรักผืนแผ่นดินแห่งนี้ ประกอบกับตอนนั้นเขาบังเอิญได้รับเชิญไป ออกรายการโทรทัศน์ภาษาฮากกาของสถานี Public Television Service ทำให้เขาได้ชิมลางบนเวที แล้วเห็นว่าชาวต่างชาติมีศักยภาพที่จะก้าวหน้าในวงการบันเทิงของไต้หวันได้ ดังนั้นเขาจึงพาตัวเองไปแนะนำให้กับบริษัทเอเจนซี่ต่างๆ แต่ด้วยความที่ภาษาและวัฒนธรรมแตกต่างกัน เวลาสัมภาษณ์จึงถูกมองว่ามีทัศนคติไม่เหมาะสมกับตลาดเอเชีย และถูกปฏิเสธอย่างต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 ปี
แม้ว่าเขาจะมีโอกาสออกรายการทีวีเพียงเดือนละ 1-2 ครั้ง แต่เขาก็ยังคงยืนหยัดอยู่ เพียงแค่ได้รับโทรศัพท์แจ้งล่วงหน้าก็มีความสุขมาก เขายังเคยรับงานถ่ายทำนอกสถานที่ 2 วัน กับค่าจ้างเพียงแค่ 500 เหรียญไต้หวันด้วย เมื่อหาเวทีแสดงในไต้หวันไม่ได้ เพื่อนๆ ก็แนะนำให้เขากลับไปที่ตุรกี ซึ่งตัวเขาเองรู้ดีว่าถ้ากลับไปเป็นไกด์ การจะหาเงินเป็นแสนๆ ไม่ใช่ปัญหาเลย แต่นั่นมันง่ายเกินไป เขาอยากลองดูว่าตัวเองสามารถทำอะไรในไต้หวันได้บ้าง ดังนั้นจึงทำการจัดสรรปันส่วนเงินเก็บกระเป๋า เอาไปเช่าห้องพักบนชั้นดาดฟ้าที่ต่อเติมขึ้นมา พร้อมบอกตัวเองว่า จนกว่าจะหมดเงินก้อนสุดท้าย มิฉะนั้นจะไม่มีวันยอมแพ้อย่างเด็ดขาด
พิธีกรรางวัล Golden Bell Award กับความพิเศษของแต่ละท้องถิ่น
ในที่สุดเดือนกันยายน ปีค.ศ.2011 เขาก็ได้รับโอกาสให้เป็นพิธีกรรายการท่องเที่ยวนอกสถานที่ชื่อ iwalker (愛玩客) พร้อมเซ็นสัญญากับบริษัทเอเจนซี่เป็นเวลา 5 ปี Rifat ถือเป็นพิธีกรชาวต่างชาติคนแรกในประวัติศาสตร์ของรายการโทรทัศน์ไต้หวันที่ได้ออกอากาศในช่วงเวลาไพรม์ไทม์ตอนสี่ทุ่ม Rifat มีประสบการณ์เป็นไกด์นำเที่ยวที่ตุรกี บวกกับเคยสัมผัสวรรณกรรมประวัติศาสตร์ของไต้หวัน จึงทำให้เขารู้ว่าช่วงไหนเหมาะสมที่จะถามอะไร ผู้ชมจึงไม่เพียงได้เห็นว่าที่ไหนในไต้หวันมีอาหารอร่อยๆ มีสถานที่น่าท่องเที่ยว แต่ยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมถึงวัฒนธรรมของอาหารและประวัติศาสตร์ของท้องถิ่นนั้นๆ ด้วย สำเนียงการพูดภาษาจีนของ Rifat ที่มีภาษาไต้หวันแทรกขึ้นมาบ้างและความเป็นธรรมชาติของพิธีกรที่ไม่ได้เกิดจากการเสแสร้ง กลายเป็นที่ชื่นชอบและได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ชม กระทั่งปีค.ศ.2012 เขาได้รับรางวัล Golden Bell Award สาขาพิธีกรรายการท่องเที่ยวยอดเยี่ยม
คนภายนอกอาจจะมองว่าการถ่ายทำนอกสถานที่เป็นอะไรที่สบายๆ ง่ายๆ เหมือนกับว่าไปเที่ยวเล่นแล้วก็ยังหาเงินได้ด้วย แต่ความจริงคนที่อยู่ในเหตุการณ์เท่านั้นถึงจะรู้ว่าลำบากขนาดไหน หลายปีก่อนหน้านี้ภาพยนตร์เรื่อง “Seediq Bale” โด่งดังมากๆ รายการ iwalker จึงเกาะกระแสความนิยมตอนนั้น พา Rifat และทีมงานฝ่ายผลิตเดินทางไปถ่ายทำรายการที่เขตภูเขาอู้เซ่อซัน เมืองหนานโถว เพื่อสำรวจสมรภูมิรบสุดท้ายของ Mona Rudao ที่ถ้ำ Mahebo ถนนบนภูเขานี้เป็นทางขุรขระ มีทั้งหน้าผาชัน ดินหินที่ร่วงถล่มลง และป่าหมอก หากไม่มีชนเผ่าพื้นเมืองที่คุ้นชินกับพื้นที่คอยนำทางก็อาจจะหลงเข้าไปกลางป่าเขาได้ทันที ตอนนั้นเขาได้ยินเสียงแปลกๆ จากในถ้ำ จึงถามออกไปถึงได้รู้ว่าเกิดดินหินถล่มขึ้นบริเวณใกล้เคียง ซึ่ง Rifat บอกว่า “มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย เพราะห่างออกไปแค่ประมาณ 300 เมตร อีกนิดเดียวก็จะหาไม่เจอแม้แต่กระดูกแล้ว”
แบ่งปันความงดงามของไต้หวันสู่สายตาชาวโลก
Rifat ชื่นชมในวิถีชีวิต วัฒนธรรม และธรรมชาติของไต้หวัน สิ่งที่เขารู้สึกสนใจมากที่สุดคือ ประเพณีงานวัดของไต้หวัน ทั้งเคยเข้าร่วมประเพณีจุดประทัดรังผึ้งกับประเพณีแห่เจ้าแม่ทับทิมด้วยตัวเอง เขารู้สึกได้ถึงพลังของความเชื่อและความศรัทธาที่แฝงอยู่ในวิถีชีวิตของประชาชน การแห่เจ้าแม่ทับทิมนำพาผู้คนนับพันนับหมื่นมารวมตัวกัน ทุกพื้นที่ดังระงมไปด้วยเสียงประทัดดัง พลุดอกไม้ไฟ และยังมีความคึกคักของขบวนปาเจียเจี้ยงที่ออกมาเต้นนำขบวนแห่ไปโดยรอบ Rifat อธิบายสิ่งนี้ว่าเป็นเหมือนงานคาร์นิวัล
คุณ Rifat ยังพาทีมงานถ่ายทำรายการนอกสถานที่เดินทางไปยังตุรกีเพื่อแนะนำบ้านเกิดของเขา และเขาได้รับเชิญให้ไปออกรายการข่าวท้องถิ่นของประเทศตุรกี เพื่อแชร์เรื่องราวของชาวต่างชาติที่ทำงานอยู่ในวงการบันเทิงไต้หวัน ทั้งยังได้คัดสรรหุ่นกระบอกไต้หวันนำไปเป็นของที่ระลึก ทำให้ชาวตุรกีมีโอกาสได้สัมผัสกับวัฒนธรรมของไต้หวันด้วย
สัญญากับบริษัทเอเจนซี่ครบกำหนดเมื่อสองปีที่แล้ว เขาตัดสินใจไม่เซ็นสัญญาต่อ เพราะหวังไว้กับภรรยาคุณเฉินจิ่นอวี้ (陳錦玉) ว่า จะเลือกทำงานอิสระสร้างสรรค์ประโยชน์ให้กับสังคม แม้คนรอบข้างจะมองว่ารายรับที่ได้ไม่สูงมาก แต่สำหรับ Rifat แล้ว ไม่ได้แสวงหาถึงสิ่งที่จะได้มาในระยะเวลาสั้น เพราะเขาให้ความสำคัญกับผลกระทบที่จะเกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในอนาคต ดังเช่นที่เขาร่วมมือกับนิตยสารรายเดือน Global Kids เขียนคอลัมน์ที่มีชื่อว่า “ท่องเที่ยวไปกับ Rifat” ซึ่งเขาได้ออกแบบการนำเสนอเรื่องราวให้ดูสดใสน่าสนใจ เพื่อทำให้เด็กได้รู้จักไต้หวันมากขึ้น Rifat บอกว่า ตอนแรกได้ปล่อยออกมาแล้ว ชื่อว่า “น้ำตานางฟ้าที่ทะเลสาบเจียหมิง” (The Angel’s Tears-Jiaming Lake) และอนาคตจะค่อยๆ นำเสนอเรื่องราวเกี่ยวกับระบบนิเวศวิทยาในไต้หวัน ประเพณีพื้นบ้าน ฯลฯ ขอให้ทุกคนอดใจรอ
รักครอบครัว คือความจริงที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
การเป็นศิลปินนักแสดง ทำให้ Rifat หวังจะใช้แนวทางของตนเองนำพาความสุขและพลังงานบวก เผื่อแผ่ไปสู่ทุกคน ดังนั้น Rifat จึงเริ่มเปิดช่องบน YouTube ของตัวเอง และใช้อุปกรณ์ง่ายๆ ถ่ายทำรายการที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน พร้อมเรียนรู้วิธีการตัดต่อด้วยตนเอง แม้กระทั่งในช่วงที่ยุ่งมากๆ Rifat ก็จะพยายามอัพคลิปวิดีโอให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 ตอน เพื่อแบ่งปันเรื่องราวความรู้สึกและความคิดของเขาออกสู่สาธารณชน
ตัวอย่างเช่น ตอนที่ Rifat พาญาติจากประเทศตุรกีนั่งรถไฟฟ้าไปเที่ยวสวนสัตว์ไทเป ได้เห็นความสุขของเด็กๆ เมื่อพบกับหมีแพนด้า หรือตอนที่ Rifat ไปสำรวจที่พักค้างคืนตรงบริเวณสถานีรถไฟไทเป วิธีการบันทึกภาพคือให้ความใส่ใจกับกลุ่มคนเร่ร่อน เขารู้สึกสะเทือนใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ หรือจะเป็นอีกคลิปที่เขาถ่ายประสบการณ์การไปหาหมอของเขาเอง เพื่อแนะนำให้ผู้ชมได้เห็นถึงความก้าวหน้าของระบบการประกันสุขภาพและการแพทย์ในไต้หวัน คลิปวิดีโอที่ฉายอยู่บนช่องของเขายังมีการใส่ซับไตเติ้ลเป็นภาษาตุรกี เพื่อใช้ช่องทางบนโลกอินเตอร์เน็ต ทำให้ผู้คนจำนวนมากได้มีโอกาสทำความรู้จักกับไต้หวัน
Rifat เคยเขียนหนังสือ 2 เล่มมีชื่อว่า “ขนมปังตุรกีรักไต้หวัน” กับ “หนังสือเชิญจากตุรกี” และไม่นานมานี้ เขายังนำเอามุมที่มีต่อครอบครัวและมรดกการทำอาหารตุรกีที่สืบทอดมาจากคุณอา เขียนออกเป็นหนังสือสอนทำอาหาร เพื่อให้อาหารตุรกีไปปรากฏอยู่บนโต๊ะที่บ้านของทุกคนด้วย
จากการเดินทางมาศึกษาที่ไต้หวันโดยลำพัง จนถึงวันนี้ Rifat ได้แต่งงานมีครอบครัวและลงหลักปักฐานอยู่ที่ไต้หวัน ยิ่งพอมีสถานะเป็นคุณพ่อ Rifat ก็ยิ่งรู้สึกว่าไต้หวันเป็นเหมือนบ้านของเขามากขึ้น เขาชอบทุกอย่างของบ้านหลังนี้ ไม่ว่าจะเป็นด้านดีหรือด้านลบ สิ่งนี้คือความจริงที่จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง เมื่อใดก็ตามที่คนมาขอบคุณกับความรักที่เขามีให้ไต้หวัน Rifat จะรู้สึกแปลกใจ เพราะไต้หวันมีสถานที่และสิ่งต่างๆ มากมายซึ่งควรค่าแก่การที่ทุกคนควรภาคภูมิใจ เพียงแต่คนไต้หวันอาจไม่ทราบเท่านั้นเอง ดังนั้นเขาจึงอยากใช้วิธีการของตัวเองทำให้ทุกคนมองเห็นถึงคุณค่าของดินแดนแห่งนี้
Rifat ได้รับบัตรประชาชนไต้หวันเมื่อปีที่แล้ว ในที่สุดพ่อของ Rifat ก็ยอมใจอ่อน เพราะเชื่อว่าการที่ลูกชายมาพำนักอาศัยอยู่ในไต้หวัน ไม่เพียงแต่จะมีคนช่วยดูแล หากแต่ยังมีชีวิตความเป็นอยู่ที่มีหลักประกันมากขึ้นด้วย และแม้ว่าพ่อของ Rifat จะเสียชีวิตจากการเจ็บป่วยไปเมื่อช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่เราก็เชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าท่านจะอยู่บนสวรรค์คอยดูแลครอบครัวของ Rifat ให้สามารถใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินของไต้หวันอย่างได้มีความสุขไปตราบนานเท่านาน