การเติบโตของแบรนด์เนื้อเทียมนานาชาติ
เมื่อ 20 กว่าปีก่อน ในงานแสดงสินค้าเกษตรและอาหารนานาชาติไทเป ครั้งที่ 1 เซี่ยฉีฟงได้เปิดตัว “เอ็นขาหมูเทียม” ด้วยตนเอง กลูเตนที่ถูกนำไปแช่น้ำแล้วตากแห้ง เมื่อปรุงรสด้วยเครื่องปรุงสูตรพิเศษของตัวเองและนำไปอบ ก็จะกลายเป็นของกินเล่นแบบง่าย ๆ แต่กลับดึงดูดให้ผู้คนจำนวนมากแย่งกันลองชิม โดยมีผู้ที่ทราบว่าธุรกิจที่บ้านของเซี่ยฉีฟงคือขายหมูหย็อง จึงถามด้วยความสงสัยว่า “แล้วคุณทำหมูหย็องเจได้หรือเปล่า ?” ดังนั้น เซี่ยฉีฟงจึงเริ่มติดต่อกับผู้นำเข้าเนื้อเจ ก่อนจะพบว่า ในขณะนั้น เนื้อเจในไต้หวันถูกนำเข้าจากญี่ปุ่นทั้งหมด แถมยังมีราคาสูงถึงชั่งละ 450 เหรียญไต้หวัน
พอดีกับที่ขณะนั้น เซี่ยฉีฟงได้ยินมาว่า ศ.เจียงเหวินจาง (江文章) ซึ่งเป็นอาจารย์ของมหาวิทยาลัยแห่งชาติไต้หวัน (NTU) จบการศึกษามาจากญี่ปุ่น และมีความเชี่ยวชาญในด้านเทคโนโลยีการอัดรีดอาหาร ดังนั้น เซี่ยฉีฟงจึงเดินทางไปเข้าพบเพื่อขอคำแนะนำ หลังจากประสบความสำเร็จในการเจรจาเพื่อสร้างความร่วมมือ Hung Yang Foods จึงเริ่มผลิตเนื้อเจ และวางจำหน่ายในราคาที่ถูกกว่าสินค้าจากญี่ปุ่นถึงครึ่งหนึ่ง จนกลายเป็นโรงงานผลิตเนื้อเจที่ใหญ่ที่สุดในไต้หวัน
เซี่ยฉีฟงอธิบายถึงหลักการของเนื้อเจว่า “พูดง่ายๆ ก็คือ ทำให้แป้งกลายเป็นก้อนเหนียวๆ แล้วนำมาผสมกับโปรตีนจากพืช ก่อนจะนำไปขึ้นรูปใหม่” ฟังดูแล้วอาจรู้สึกว่าเป็นเรื่องง่าย แต่ก็ทำให้เซี่ยฉีฟงต้องทุ่มเทกับมันเป็นอย่างมาก ตั้งแต่การออกแบบเนื้อเจ ไปจนถึงการควบคุมคุณภาพในสายการผลิต เพราะต้องทุ่มเทความพยายามอย่างเต็มที่ในทุกขั้นตอน
เซี่ยฉีฟงจบการศึกษาด้านเครื่องกลและอิเล็กทรอนิกส์ เขาออกแบบเครื่องผลิตเนื้อเจด้วยตนเอง ก่อนจะสั่งซื้อชิ้นส่วนจากต่างประเทศมาลองประกอบขึ้น แต่ในปัจจุบัน คนงานเพียงเทวัตถุดิบลงไปที่ด้านหนึ่งของเครื่อง ใช้เวลาเพียง 31 วินาที เนื้อเจก็จะถูกผลิตออกมาจากอีกด้านหนึ่ง และเพื่อลดความเสี่ยงที่จะถูกปนเปื้อนจากวัตถุดิบที่ไม่ใช่ของเจ จึงกำหนดให้สายการผลิตทั้งหมด ทำการผลิตเฉพาะเนื้อเจเท่านั้น และแม้แต่ชื่อเดิมของบริษัท ซานหยาง (三陽) ซึ่งมีเสียงพ้องกับคำว่า ซานหยาง (三羊) ที่หมายถึงแพะ 3 ตัว ก็ถูกเปลี่ยนหงหยาง (弘陽) ซึ่งเป็นชื่อที่ใช้อยู่จนทุกวันนี้
หลังผ่านความพยายามมาเป็นเวลากว่า 1 ปี เซี่ยฉีฟงทำให้ยอดขายของเนื้อเจ เพิ่มขึ้นจนสูงกว่าผลิตภัณฑ์เดิมที่ไม่ใช่อาหารเจเสียอีก ความสำเร็จนี้ทำให้เขาตัดสินใจเปลี่ยนรูปแบบของบริษัทให้หันมาผลิตอาหารเจเพียงอย่างเดียว พร้อมทั้งเริ่มรับคำสั่งซื้อจากต่างชาติในปี ค.ศ. 1998 กลุ่มลูกค้าหลักของบริษัทคือผู้ที่นับถือลัทธิอีก้วนเต้า (一貫道) หรือลัทธิอนุตตรธรรม
หลังจากที่ยอดสั่งซื้อจากต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ บริษัทก็เริ่มปรับรูปแบบธุรกิจ จากเดิมที่เป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) เนื้อเทียมเพียงอย่างเดียว ก็พัฒนาไปสู่การเป็นผู้รับจ้างผลิตและออกแบบผลิตภัณฑ์ในแบบ ODM เซี่ยฉีฟงได้หยิบเอากล่องกระดาษออกมาวางเป็นกองใหญ่ ทำให้เห็นว่าสินค้าเนื้อเทียมที่ผลิตมีทั้งที่เป็นกุ้งทอด ไก่ทอด และแซลมอนรมควัน ซึ่งทั้งหมดนี้ต่างก็ใช้แบรนด์ของลูกค้าทั้งนั้น และส่งออกไปจำหน่ายยังซูเปอร์มาร์เก็ตในประเทศอังกฤษ “ผู้บริโภคในยุโรปและสหรัฐฯ จะนิยมรับประทานอาหารเย็น ๆ ที่ผ่านการปรุงรสมาแล้ว แต่ตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จะเป็นวัตถุดิบเจที่ยังไม่ได้ปรุงรสเป็นหลัก” โดยเซี่ยฉีฟงยังชี้อีกว่า แม้แต่ในยุโรป คนเยอรมันกับคนอังกฤษก็รับประทานเนื้อเจที่มีรสชาติไม่เหมือนกัน ดังนั้น ก่อนเดินเครื่องผลิตทุกครั้งจะต้องให้ลูกค้าทดลองชิมก่อน เมื่อทดลองจนพอใจแล้วจึงค่อยเริ่มทำการผลิต
Hung Yang ได้วางตลาดสินค้าเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เทียมที่เพิ่งจะวิจัยและพัฒนาออกมาในช่วง 5 ปีนี้ โดยใช้แบรนด์ VVeat ซึ่งผู้บริโภคสามารถซื้อหาได้จากทั้ง PXmart และ Costco แม้แต่ที่ 7-11 และ Family Mart ก็สามารถสั่งซื้อเนื้อแฮมเบอร์เกอร์เทียมของ Hung Yang ได้ โดยเมื่อนำไปใส่รวมกับวัตถุดิบอื่น ๆ และซอสปรุงรส ก็จะกลายเป็นแฮมเบอร์เกอร์แสนอร่อยในทันที
ในปี ค.ศ. 2019 สัดส่วนยอดขายของ Hung Yang มาจากการส่งออกมากถึงร้อยละ 80 แบรนด์ Sophie’s Kitchen ที่ทางบริษัทเป็นผู้ ODM ให้ ก็มีวางจำหน่ายในห้าง Wallmart และมีจำหน่ายในซูเปอร์มาร์เก็ตของออสเตรเลียมากถึงร้อยละ 90 เซี่ยฉีฟงกล่าวด้วยความภูมิใจว่า “ผู้ที่ต้องการหาเนื้อเจจากทั่วโลก จะต้องเดินทางมาที่นี่”
เมื่อฉีกเนื้อเจที่ผลิตโดย Hung Yang ออก จะมีเส้นใยที่ดูแล้วราวกับเป็นเนื้อสัตว์