เมื่อรถไฟฟ้าและรถจักรยานกลายมาเป็นยานพาหนะสำหรับการเดินทางในยุคปัจจุบัน การขนส่งทางถนนยังคงเป็นรูปแบบการขนส่งที่ธรรมดาและเรียบง่าย เมื่อรถไฟและรถไฟความเร็วสูงออกมาประลองความเร็วกัน โครงข่ายเส้นทางถนนได้ถูกขยายไปตามที่ต่างๆ ทั้งบนภูเขาสูงและพื้นที่ห่างไกล เชื่อมโยงการเดินทางไปสู่ทั่วทุกภูมิภาคของไต้หวัน ถนนเคยเป็นหัวใจสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจไต้หวัน แต่ปัจจุบันผู้คนรู้สึกคุ้นเคยจนเห็นเป็นเรื่องธรรมดา เพียงแต่ในบางครั้ง อาจจะเข้ามามีบทบาทช่วยลดจังหวะชีวิตที่เร่งรีบให้ช้าลงได้บ้าง นึกทบทวนถึงจุดเริ่มต้นของเส้นทางบนท้องถนนในแต่ละเส้นทาง บ้างก็เพื่อส่งความรักและความห่วงใยไปยังพื้นที่ที่ห่างไกลและคิดถึง บ้างก็เพื่อการเดินทางด้วยจังหวะที่พอดี และมีโอกาสได้พบเจอนักเดินทางระหว่างทาง และดื่มด่ำกับทัศนียภาพที่ได้พบเจอโดยไม่ตั้งใจ
รถห้องสมุดเคลื่อนที่ของห้องสมุดเขตสือกัง (石岡) หนึ่งในห้องสมุดที่อยู่ภายใต้สังกัดของห้องสมุดประชาชนนครไทจง จะแล่นผ่านถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 8 ก่อนจะขับล่องไปตามถนนทางหลวงชนบทหมายเลข 37 (ถนนทางเบี่ยงที่เชื่อมระหว่างตะวันตก-ตะวันออกของไต้หวัน ในช่วงกู่กวน (谷關) และเต๋อจี (德基) ของนครไทจง) เพื่อไปยังโรงเรียนสองแห่งคือ โรงเรียนหลีซัน (梨山國小) ซึ่งเป็นโรงเรียนในระดับประถมศึกษาและมัธยมศึกษาตอนต้น และโรงเรียนประถมศึกษาผิงเติ่ง (平等國小) เป็นประจำทุกเดือน เดือนละหนึ่งครั้ง
ทันทีที่รถเคลื่อนตัวเข้ามาจอด เด็กๆ ก็จะมารายล้อมรอบรถอย่างรวดเร็ว เฝ้ารอให้เจ้าหน้าที่ห้องสมุดกดปุ่มเพื่อให้รถแปลงร่างกลายเป็นห้องสมุดเคลื่อนที่ อันเป็นภาพที่คล้ายคลึงกับการเปลี่ยนรถให้เป็นหุ่นยนต์ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เด็กๆ เหล่านี้เฝ้ารอมากที่สุด คุณหลิวอวี้อิ่ง (劉育穎) เจ้าหน้าที่ห้องสมุดเล่าให้ฟัง
นำความรู้จากทั่วโลก ไปให้เด็กๆ ในพื้นที่ห่างไกล
พื้นที่หลีซัน ในนครไทจง ตั้งอยู่บนระดับความสูงราว 2,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล เป็นแหล่งผลิตผักและผลไม้เมืองหนาวที่สำคัญของไต้หวัน แต่หลังเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงครั้งใหญ่ในไต้หวันเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 1999 ส่งผลให้ถนนทางหลวงที่เชื่อมระหว่างตะวันตก-ตะวันออก ในช่วงกู่กวนและเต๋อจีของนครไทจงได้รับความเสียหายอย่างหนัก ถนนสายดังกล่าวซึ่งเป็นเส้นทางที่สะดวกที่สุดของชาวหลีซันในการเดินทางไปยังตัวเมืองไทจงถูกตัดขาด ต้องหันไปใช้เส้นทางเข้าออกทางอื่นแทน เช่น ทางหลวงเชื่อมตะวันตก-ตะวันออก ช่วงเมืองอี๋หลาน (ทางหลวงชนบทหมายเลข 7) หรือไปทางทิศใต้ด้วยทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 14 โดยต้องเดินทางผ่านพื้นที่อู้เซ่อ (霧社) ในตำบลเหรินอ้าย (仁愛) และตำบลผูหลี่ (埔里) กระทั่งมีการซ่อมแซมและทำทางเบี่ยงแล้วเสร็จในปี 2012 จึงเปิดให้ใช้งานได้เป็นบางส่วน
ปี 2012 เป็นปีเดียวกับที่รถห้องสมุดเคลื่อนที่ของห้องสมุดประชาชนนครไทจงเดินทางขึ้นเขาหลีซันเป็นครั้งแรก เนื่องด้วยสภาพภูมิประเทศที่อยู่ห่างไกล การเข้าถึงทรัพยากรทางการศึกษาต่างๆ ไม่สะดวกเฉกเช่นในตัวเมือง ด้วยเหตุนี้ ห้องสมุดประชาชนจึงต้องการที่จะนำหนังสือไปส่งให้ถึงมือของเด็กๆ ที่อยู่บนดอยห่างไกล พร้อมกับทำหน้าที่เป็นประตูนำพาเด็กๆ เหล่านี้ให้รู้จักกับโลกภายนอกมากขึ้น
คุณเซียวอี๋ถิง (蕭怡婷) สาวสวยวัย 28 ปี ผู้ทำหน้าที่เป็นคนขับรถห้องสมุดเคลื่อนที่ของห้องสมุดเขตสือกังคนปัจจุบัน แต่เธอสามารถขับรถยนต์เกียร์ธรรมดาที่มีน้ำหนักกว่า 3.5 ตันคันนี้ได้อย่างคล่องแคล่ว และไม่ว่าใครก็ตาม เมื่อรู้ว่าเธอคือคนขับรถ ìหุ่นยนต์แปลงร่างî คันดังกล่าว ต่างก็รู้สึกประหลาดใจแทบทั้งนั้น การจะเดินทางไปยังหลีซันต้องขับรถเป็นระยะทางทั้งหมด 204 กิโลเมตร และแม้ว่าการขับรถขึ้นเขาเพียงเที่ยวเดียวต้องใช้เวลามากกว่าสามชั่วโมงก็ตาม แต่เธอกลับพูดพร้อมกับหัวเราะเบาๆ ว่า เคยชินเสียแล้ว อย่างไรก็ตาม คนที่มีความชำนาญและประสบการณ์ช่ำชอง บางครั้งก็ต้องเผชิญกับเหตุการณ์ไม่คาดฝัน ครั้งหนึ่งหลังจากที่เธอขับรถขึ้นเขาไปแล้ว เกิดฝนตกหนักทำให้มีการปิดการจราจรถนนทางเบี่ยงที่เชื่อมระหว่างตะวันตก-ตะวันออกของไต้หวัน ในช่วงกู่กวนและเต๋อจีของนครไทจง ต้องหันไปใช้เส้นทางถนนทางหลวงแนวตะวันตก-ตะวันออก ช่วงจังหวัดอี๋หลานแทน โดยต้องขับอ้อมผ่านอุโมงค์เสว่ซันและใช้เส้นทางถนนไฮเวย์หมายเลข 3 ทำให้เธอใช้เวลานานกว่า 8 ชั่วโมง จึงเดินทางกลับถึงนครไทจง
คุณเซี่ยสูหยุน (謝淑雲) ครูใหญ่โรงเรียนหลีซัน เปรียบลักษณะการเดินทางดังกล่าวว่า เป็นการเดินทางที่ไม่หวั่นต่อระยะทางและความห่างไกล ìแต่เป็นการเชื่อมโยงเด็กๆ สู่โลกภายนอก อีกทั้งส่งเสริมให้พวกเขาได้รับโอกาสและความเป็นไปได้ในการเรียนรู้ที่มากขึ้นî ขณะที่คุณเจี่ยนหวั่นถิง (簡宛廷) หัวหน้าฝ่ายวิชาการของโรงเรียนมองว่า การเข้าถึงทรัพยากรหรือแหล่งเรียนรู้นอกห้องเรียนในพื้นที่หลีซันนั้นเป็นไปอย่างยากลำบาก เนื่องจากการเดินทางไปยังห้องสมุดที่อยู่ใกล้โรงเรียนมากที่สุดต้องใช้เวลาถึง 1 ชั่วโมงครึ่ง ดังนั้น การที่มีรถห้องสมุดเคลื่อนที่เดินทางมาถึงที่นี่ ทำให้เด็กๆ เกิดความรู้สึกถึงความแปลกใหม่ และเป็นสิ่งที่ดึงดูดให้เด็กๆ สนใจที่จะอ่านหนังสือ ซึ่งถือว่าเป็นภารกิจที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของรถห้องสมุดเคลื่อนที่นั่นเอง นอกจากนี้ การยืมหนังสือที่เขาสนใจกลับบ้านเพื่อที่จะไปอ่านกับพ่อแม่ ยังเป็นการเสริมสร้างบรรยากาศการอ่านหนังสือใครอบครัวอีกด้วย
แม้จะต้องวิ่งผ่านถนนเป็นระยะทางที่ยาวไกล แต่ทุกๆ ครั้งที่รถห้องสมุดเคลื่อนที่เดินทางมาถึง จะปรากฏภาพของเด็กๆ ที่มักจะมารวมกลุ่มอ่านหนังสือและพูดคุยถกเถียงกันในรั้วโรงเรียน และนี่ก็คือทัศนียภาพที่พบเห็นโดยบังเอิญบนถนนทางหลวงหมายเลข 8 สายนี้นั่นเอง
ขึ้นเขาลงห้วย ส่งมอบความอบอุ่น
ถนนอีกสายหนึ่งที่เชื่อมต่อจากหลีซันไปยังไทจง เป็นเส้นทางที่ต้องผ่านต้าอวี๋หลิ่งและอู๋หลิ่ง เข้าสู่ถนนทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 14 เจี่ย ซึ่งเป็นเส้นทางลงเขาที่ตัดผ่านอู้เซ่อและผูหลี่ หลังจากเกิดแผ่นดินไหวครั้งรุนแรงเมื่อวันที่ 21 ก.ย. 1999 เป็นต้นมา ถนนสายดังกล่าวกลายเป็นเส้นทางสำคัญที่ชาวหลีซันใช้ในการติดต่อกับภายนอก โดยมีรถบัสหมายเลข 6506 สายฟงหยวน-หลีซัน ของบริษัทขนส่งฟงหยวน ที่วิ่งให้บริการรับส่งผู้โดยสารในเส้นทางดังกล่าวมานานกว่า 16 ปี
เส้นทางเดินรถของรถบัสหมายเลข 6506 เริ่มต้นจากฟงหยวน (豐原) ผ่านสือกัง ตงซื่อ (東勢) ผูหลี่ เข้าสู่ซั่งอู๋หลิ่ง (上武嶺) ซงเสว่โหลว (松雪樓) ผ่านต้าอวี๋หลิ่ง (大禹嶺) ไปยังหลีซัน ตลอดเส้นทางมีจุดจอดรับส่งมากถึง 86 จุด มีระยะทางรวมตลอดสายประมาณ 170 กิโลเมตร รถจะออกจากสถานีขนส่งของบริษัทขนส่งฟงหยวนเวลา 9.10 น. และวิ่งไปถึงปลายทางที่หลีซันเวลาประมาณบ่ายสามโมง
ปัจจุบัน รถบัสหมายเลข 6506 มีพนักงานขับรถประจำทั้งหมด 3 คน คุณอวี๋เจียเต๋อ (余佳德) เป็นพนักงานขับรถที่รับผิดชอบเส้นทางเดินรถสายดังกล่าวมาตั้งแต่เริ่มแรก เขาย้อนนึกถึงช่วงที่เริ่มให้บริการใหม่ๆ ในปี 2000 ซึ่งจะวิ่งให้บริการวันละ 3 เที่ยว และแต่ละเที่ยวก็มีผู้โดยสารเต็มรถตลอด ชาวหลีซันเองก็ได้อาศัยรถบัสสายดังกล่าวในการเดินทางติดต่อกับภายนอก ต่อมา หลังจากที่ถนนทางเบี่ยงแนวตะวันตก-ตะวันออกเปิดให้ใช้งาน รถบัสหมายเลข 6506 ก็เสร็จสิ้นภารกิจการรับส่งผู้โดยสารบนเส้นทางดังกล่าว ในวันธรรมดา ผู้โดยสารส่วนใหญ่จะเป็นผู้อาวุโสที่เดินทางลงเขาเพื่อไปหาหมอ แต่ในช่วงสุดสัปดาห์ ผู้โดยสารส่วนมากจะเป็นนักท่องเที่ยวและนักเดินเขาที่เดินทางมายังหลีซันและเขาเหอฮวานซัน
คุณอวี๋เจียเต๋อซึ่งรับหน้าที่ขับรถบัสเที่ยวแรกมักจะจอดรถแวะที่ห้างใบชาชิงซัน (青山茶行) ที่อยู่ข้างถนนทางหลวงผู่อู้เป็นประจำทุกวัน เพื่อนำหนังสือพิมพ์จำนวนหนึ่งขึ้นเขาไปพร้อมกับรถ ช่วยให้ชาวบ้านได้มีโอกาสอ่านหนังสือพิมพ์ ìของวันนี้î (เพราะหากรอการจัดส่งหนังสือพิมพ์ผ่านทางไปรษณีย์ ต้องรอวันถัดไปจึงจะได้อ่าน) ชาวบ้านจึงมักจะไหว้วานให้คุณอวี๋เจียเต๋อช่วยรับส่งสิ่งของต่างๆ เช่น ยอดผัก อยู่บ่อยๆ ดังนั้น หากเป็นเรื่องที่ไม่เกินความสามารถของเขา เขาก็ยินดีที่จะช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ซึ่งพวกเขาทำหน้าที่ส่งมอบความอบอุ่น ผ่านเส้นทางขึ้นลงเขาที่คดเคี้ยวเช่นนี้อย่างเงียบๆ มาเป็นเวลานาน
เส้นทางเดินรถสายฟงหยวน-หลีซัน มีความแตกต่างของระดับความสูงมากกว่า 3,000 เมตรจากระดับน้ำทะเล จากจุดเริ่มต้นที่ฟงหยวน ตั้งอยู่บนระดับความสูง 200 เมตรจากระดับน้ำทะเล ค่อยๆ ไต่เขาขึ้นไปจนกระทั่งถึงบริเวณอู๋หลิ่ง ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของทางหลวงในไต้หวัน (ระดับความสูง 3,275 เมตร) สภาพอากาศและสภาพถนนบนภูเขาสูงมีความแปรปรวนค่อนข้างมาก คุณอวี๋เจียเต๋อเองก็เคยเจอกับพายุลมแรงหลังจากที่เขาได้ขับรถขึ้นเขาไปแล้ว เหตุการณ์ครั้งนั้นทำให้เขาต้องติดอยู่บนเขานานกว่า 1 สัปดาห์ แต่ถึงแม้จะไม่สะดวกสบายเท่าไรนักก็ตาม เขากลับไม่ยอมที่จะเปลี่ยนเส้นทางเดินรถโดยเด็ดขาด เหตุผลก็คือ เขาได้มีโอกาสสัมผัสกับทัศนียภาพที่สวยตรึงตราทั้งสี่ฤดูเป็นรางวัลตอบแทนจากธรรมชาตินั่นเอง นอกจากนี้ บางครั้งยังมีทิวทัศน์ของทะเลเมฆปรากฏให้เห็นอยู่เรื่อยๆ ซึ่งเป็นทัศนียภาพอันงดงามที่เขาไม่เคยลืม
ภายในรถบัสคันเล็กๆ คันนี้ อบอวลไปด้วยเรื่องราวชีวิตของผู้โดยสารแต่ละคน ที่เมื่อเจอกันก็มักจะทักทายกันตามประสาและพูดคุยกันได้แทบทุกเรื่อง มีสามีภรรยาคู่หนึ่งเดินทางมาจากปักกิ่ง และมาเยือนไต้หวันเป็นครั้งแรก ทั้งคู่ขึ้นรถที่ผูหลี่เพื่อมาเยี่ยมคุณลุงที่อพยพมาตั้งรกรากในไต้หวันพร้อมกับรัฐบาลก๊กมินตั๋งในปี 1949 การเดินทางเพื่อมาเยี่ยมญาติในครั้งนี้ใช้เวลานานถึงหกสิบกว่าปี แต่ท้ายที่สุดก็ได้รถบัสหมายเลข 6506 คันนี้เองที่มาช่วยเชื่อมต่อสายสัมพันธ์ได้สำเร็จ เมื่อรถเข้าจอดที่ป้ายซงเสว่โหลว แม่ลูกคู่หนึ่งที่มาอยู่บนเขาแห่งนี้นานกว่าครึ่งเดือนก็กุลีกุจอออกมาต้อนรับ ลูกชายส่งน้ำขิง น้ำแร่ และแอปเปิลให้กับคุณอวี๋เจียเต๋อผ่านหน้าต่างรถ ประหนึ่งว่าเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน คุณอวี๋เจียเต๋อเล่าว่า เขารู้จักสองแม่ลูกคู่นี้ตอนที่ทั้งคู่โดยสารรถคันที่เขาขับ และทุกครั้งที่เจอหน้าก็มักจะมีของฝากให้เขาเสมอ โดยเฉพาะสินค้าพื้นเมืองที่ซื้อจากบนเขานั้นเอง การที่คนได้มาเจอและรู้จักกัน เปรียบดั่งพรหมลิขิตที่เกิดขึ้นได้ทุกที่แม้กระทั่งบนรถบัส
หลังพักผ่อนเอาแรงที่หลีซันแล้ว ประมาณห้าโมงเย็น
คุณอวี๋เจียเต๋อจะเปลี่ยนป้ายหมายเลขรถเป็น 6508 ออกเดินทางไปยังโรงเรียนหลีซันเพื่อรับเด็กนักเรียนที่เพิ่งเลิกเรียน และสิ้นสุดงานขับรถของเขาในหนึ่งวัน พร้อมกับพักค้างแรมที่ฟาร์มเกษตรอู๋หลิ่ง โดยหลังจากที่เด็กๆ ขึ้นรถเรียบร้อย จู่ๆ ก็เกิดเสียงพูดคุยหัวเราะกันอย่างสนุกสนานระงมทั่วทั้งคันรถ คุณอวี๋เจียเต๋อเล่าว่า เขาชอบความไร้เดียงสาของเด็กๆ มาก เขารับส่งเด็กกลุ่มนี้มานานกว่า 9 ปีแล้ว และมีความสนิทสนมกับเด็กกลุ่มนี้เป็นพิเศษ คุณอวี๋เจียเต๋อจอดรถที่จุดจอดรถแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ระหว่างทาง ทันใดนั้น เด็กๆ ก็พากันกรูลงจากรถไป แล้วก็รีบแย่งกันกลับขึ้นรถมาอีก ที่แท้ที่จุดจอดรถแห่งนี้มีร้านขายของชำซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่ร้านในละแวกใกล้เคียง คุณอวี๋เจียเต๋อจึงมักจะจอดรถที่จุดดังกล่าวเป็นเวลานานสักหน่อย เพื่อให้เด็กๆ ได้แวะซื้อขนมขบเคี้ยวรับประทาน ก่อนจะออกเดินทางกันต่อ และภาพของทัศนียภาพอันงดงามที่พบได้โดยบังเอิญบนถนนทางหลวงสายนี้ ก็ปรากฏเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งภาพ จากรอยยิ้มที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขของเด็กๆ นั่นเอง
ทัศนียภาพที่ยากจะลืมเลือนในตรอกซอกซอย
บุรุษไปรษณีย์เป็นอีกผู้หนึ่งที่ต้องขับขี่มอเตอร์ไซค์คู่ใจไปตามท้องถนนแม้ฝนจะตกฟ้าจะร้อง
คุณหลี่เสียง (李翔) คือบุรุษไปรษณีย์ที่ทำงานให้กับบริษัทไปรษณีย์ไต้หวัน สาขาซั่นฮั่ว ในนครไถหนาน ทุกคนตั้งสมญานามให้กับบุรุษไปรษณีย์ผู้นี้ว่า ìไชไชî (มาจากคำว่า 郵差 อ่านว่า โหยวไช ซึ่งหมายถึงบุรุษไปรษณีย์) เครื่องแบบสีเขียวทั้งชุดพร้อมหมวกกันน็อค ขี่รถจักรยานยนต์สีเขียวที่มองผ่านก็รู้ได้ทันทีว่าเป็นรถของไปรษณีย์ ด้านข้างของตัวรถจักรยานยนต์ พาดด้วยกระเป๋าใส่เอกสารซึ่งมีน้ำหนักพอตัว เบาะนั่งด้านหลังถูกมัดด้วยกล่องสำหรับใส่ของไว้ที่ท้ายรถ ส่วนที่ด้านหน้ารถก็มีตะกร้าหน้ารถติดตั้งไว้อีกหนึ่งจุด ทั้งหมดนี้คือชุดและอุปกรณ์การทำงานตลอด 12 ปีของการเป็นบุรุษไปรษณีย์ของคุณหลี่เสียงนั่นเอง
ในแต่ละวัน เขาจะต้องจัดการกับจดหมายและเอกสารกองใหญ่น้ำหนักกว่า 40 กิโลกรัม และจัดส่งไปตามบ้านแต่ละบ้านบนระยะทางรวม 50 กว่ากิโลเมตร ช่วง 9 ปีแรกของการทำงานเป็นบุรุษไปรษณีย์ คุณหลี่เสียงทำหน้าที่จัดส่งจดหมายตามตารางเวลา เสร็จก็เลิกงาน แต่เมื่อ 3 ปีก่อน เขาเริ่มพกกล้องถ่ายรูปติดตัวไปด้วยตลอดเวลา พร้อมกับเก็บภาพทุกอย่างที่พบเห็นทั้งสถานที่และผู้คน และอัพรูปลงในอินสตาแกรม รวบรวมเป็นอัลบั้มของเขาเองในชื่อว่า ìไดอารี่ไปรษณีย์ของไชไชî นักท่องเน็ตจำนวนมากจึงมีโอกาสได้เห็นภาพของบ้านเกิดและสถานที่ที่คุ้นเคยตอนเด็กๆ ผ่านจากภาพถ่ายของเขา
พวกเราติดตามถ่ายภาพชีวิตการทำงานในแต่ละวันของคุณหลี่เสียง จึงได้รู้ว่าเวลาในการทำงานส่งจดหมายของบุรุษไปรษณีย์นั้นแน่นเอี๊ยด จนไม่มีช่วงว่างมากพอที่จะไปสำรวจหรือเก็บภาพใดๆ ìแต่หลังจากที่ต่อมความรู้สึกถูกกระตุ้นขึ้น ถึงได้พบว่าภาพต่างๆ ที่เห็นมาตลอดสิบกว่าปีที่ผ่านมา ถูกบันทึกไว้ในกล่องความทรงจำของสมองเฉกเช่นเดียวกับการบันทึกภาพถ่ายผ่านกล้องถ่ายรูปมาแล้ว ดังนั้น เพียงแค่ได้บันทึกภาพที่เกิดขึ้นในขณะที่กดชัตเตอร์ก็เพียงพอแล้วî คุณหลี่เสียงกล่าว
คุณหลี่เสียงมักจะซอกแซกไปตามตรอกซอกซอยต่างๆ อยู่เป็นประจำ เขานึกย้อนถึงความทรงจำในอดีต ซึ่งนอกจากการส่งจดหมายแล้ว เขามักจะพบกับ ìเรื่องสนุกๆ ที่เกิดขึ้นในตรอกซอกซอยอยู่บ่อยๆî ทั้งบ้านเก่าที่ยังคงความงดงามแบบเรียบง่าย หรือ ìเจ้าสุนัขî ที่เปรียบเสมือนคู่ปรับตัวแสบของบุรุษไปรษณีย์ก็ตาม แต่มิใช่เพียงแค่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นครั้งคราวเหล่านี้เท่านั้น เพราะความผูกพันของบรรดาคนเฒ่าคนแก่ที่เฝ้ารอคุณหลี่เสียงมาส่งจดหมายอยู่หน้าประตูบ้าน ก็เป็นอีกหนึ่งในทัศนียภาพที่สร้างความประทับใจให้แก่เขาเช่นกัน คุณหลี่เสียงมักจะทักทายและพูดคุยเรื่องสัพเพเหระกับผู้คนเหล่านี้อยู่เสมอ ทุกวันเขาจะทำหน้าที่ส่งจดหมายและเอกสารต่างๆ เช่น แผ่นพับโฆษณา ใบสั่งจราจร หรือใบแจ้งการชำระเงินให้ถึงมือพวกเขาอย่างถูกต้อง การโต้ตอบระหว่างกันที่เกิดขึ้นเป็นปกติในชีวิตประจำวันเช่นนี้ ได้กลายมาเป็นส่วนหนึ่งของการบันทึกภาพเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นให้กับคนเฒ่าคนแก่เหล่านี้ไปด้วย
คุณหลี่เสียงขี่รถจักรยานยนต์ซอกแซกไปมาตามถนนและตรอกซอกซอยต่างๆ ของชุมชนเก่า ตรอกซอกซอยที่ไม่มีชื่อเหล่านี้มีความสำคัญกับเขาอย่างไร ìเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการใช้ชีวิตของผมî เก็บภาพความประทับใจผ่านวิวริมหน้าต่างการทำงานของคุณหลี่เสียงไว้สักหนึ่งใบ เพื่อเป็นอีกหนึ่งทัศนียภาพอันงดงามบนท้องถนนที่พวกเราได้บันทึกไว้
ท้องถนนจึงเปรียบเสมือนด้ายแดงที่เชื่อมสายสัมพันธ์ระหว่างมนุษย์กับมนุษย์ในอีกรูปแบบหนึ่ง เชื่อมโยงผู้คนที่ไม่รู้จักกันเข้าด้วยกัน ทำให้คนแปลกหน้าได้มีโอกาสพบเจอกัน มีโอกาสเดินไปบนเส้นทางเดียวกัน และมีความทรงจำที่แสนประทับใจไปพร้อมๆ กัน คุณหลี่เสียงมักชอบพูดเสมอว่า ìเรื่องดีๆ มักเกิดขึ้นในสถานที่ที่ไม่คาดคิดî และบนท้องถนนก็เฉกเช่นเดียวกัน