even studio : นำประสบการณ์ของชีวิตมาใช้ในการออกแบบ
อู๋อี๋เหวิน (吳宜紋) ผู้ก่อตั้ง even studio เคยชนะเลิศการประกวดงานหัตถศิลป์ไต้หวันในปีค.ศ.2010 จากผลงานที่มีชื่อว่า “Cookie Stool” หรือ “เก้าอี้คุกกี้” ผลงานที่มีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองชิ้นนี้สะดุดตาผู้ชมเป็นอย่างมาก
อู๋อี๋เหวินมีความตระหนักต่อการใช้วัสดุไม้อย่างคุ้มค่า จึงชอบไปเสาะหาไม้เก่าๆ จากร้านขายไม้เก่า มาใช้ในการทำงาน มีอยู่วันหนึ่ง ในระหว่างที่กำลังไสหน้าไม้ของไม้เก่าออก เธอพบว่าเศษไม้ที่ปลิวออกมาดูแล้วเหมือนกับเศษคุกกี้ จึงทำให้เกิดเป็นไอเดียในการทำเก้าอี้คุกกี้ขึ้น ผลงานชิ้นนี้ได้นำเอาจุดตำหนิของไม้เก่ามาเป็นส่วนหนึ่งของชิ้นงาน รอยแหว่งบนเนื้อไม้ ก็เหมือนกับรอยกัดที่อยู่บนคุกกี้ ทำให้มีความเป็นธรรมชาติและมีชีวิตชีวาเป็นอย่างมาก
อู๋อี๋เหวินบอกว่า “ผลงานของดิฉันแบ่งออกได้เป็น 4 กลุ่มใหญ่ๆ: ความทรงจำในวัยเด็ก การอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม ตัวหนังสือและผลงาน 3 มิติ แล้วก็วัฒนธรรมป็อป” ขณะที่อู๋อี๋
เหวินศึกษาอยู่ในระดับปริญญาโทของมหาวิทยาลัยศึกษาศาสตร์ไทเป (National Taipei University of Education) ในระหว่างการพูดคุยกับอาจารย์ทำให้เธอรู้อย่างชัดเจนถึงบริบทในการสร้างสรรค์ผลงานของตัวเอง และการที่เธอมีภูมิหลังและมีความเข้าใจในศิลปะ ทำให้งานไม้ของเธอมีความหลากหลายเป็นอย่างมาก นอกจากในด้านโครงสร้างแล้ว ยังมีแนวคิดของการออกแบบที่แอบแฝงอยู่ด้วย
“เก้าอี้คุกกี้มีความเกี่ยวพันกับความทรงจำในวัยเด็กของดิฉัน ตอนเด็กๆ อยู่ที่บ้านก็จะไม่ได้กินคุกกี้ ก็เลยไปขอเพื่อนกินที่โรงเรียน นึกย้อนอดีตทีไร ก็รู้สึกเกลียดสภาพเช่นนั้น” อู๋อี๋เหวินใช้ผลงานของเธอในการบอกเล่าเรื่องราวของตัวเอง สำหรับผลงานอีกชิ้นหนึ่ง คือ “โทรทัศน์ของเด็กประถม” ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากความรู้สึกในวัยเด็กที่รู้สึกหลงใหลในโทรทัศน์เป็นอย่างมาก จนทำให้หลงลืมสิ่งที่คุณพ่อสั่งเอาไว้หลายต่อหลายครั้ง ดังนั้น บนตู้ที่ถูกออกแบบให้ดูเหมือนเครื่องรับโทรทัศน์ จึงมีกระดานดำเล็กๆ เพื่อให้ผู้ใช้งานสามารถจดบันทึกสิ่งที่จะต้องทำเอาไว้บนนั้น ซึ่งก็เหมือนกับเป็นการแสดงให้เห็นถึงการแก้ปัญหาให้กับตัวเองเมื่อวัยเด็กของเธอเช่นกัน
เมื่อย้อนรำลึกถึงช่วงเวลา 8 ปี ที่ฝึกฝนตัวเองอยู่ที่ไฮว๋เต๋อจวี อู๋อี๋เหวินบอกว่า “ความรู้ของที่นั่น เรียนยังไงก็ไม่หมด” ตอนที่เธอเรียนจบจากมหาวิทยาลัย แม้จะมีพื้นฐานด้านงานไม้มาบ้างแล้ว หากแต่ในส่วนของเป้าหมายที่ตั้งไว้ในขณะที่สมัครเข้าเรียนต่อปริญญาโทที่ว่า จะสร้างแบรนด์งานไม้เป็นของตัวเอง เธอรู้ตัวดีว่ายังต้องพัฒนาด้านเทคนิคอีกมาก จึงขี่จักรยานยนต์มาที่หลินโข่ว เพื่อขอเรียนรู้จากไฮว๋เต๋อจวี ซึ่งหลังจากที่หลินตงหยางได้พบเด็กสาวที่มาขอฝากตัวเป็นศิษย์เพื่อร่ำเรียนวิชา จึงรับเธอเป็นนักเรียนในทันที พร้อมส่งให้ไปเป็นลูกศิษย์ของอ.อาจื้อ (阿志老師) เพื่อฝึกฝนด้านงานไม้
อู๋อี๋เหวินเรียนรู้และฝึกฝนตัวเองอย่างไม่หยุดหย่อน ทำให้ในปัจจุบัน นอกจากจะรับงานผลิตสินค้าของตัวเองแล้ว ยังเป็นอาจารย์ประจำฐานทัพช่างไม้ของไฮว๋เต๋อจวีด้วย เริ่มตั้งแต่นำนักเรียนไปทำความรู้จักกับวัสดุ ก่อนจะค่อยๆ ทำความเข้าใจกับไม้ เพื่อหาวิธีที่เหมาะสมที่สุดในการนำมาทำเป็นชิ้นงาน เธอก็คิดแบบเดียวกับหลินตงหยางว่า ต้นไม้ต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการเจริญเติบโต กว่าจะกลายมาเป็นวัสดุที่เหมาะสำหรับใช้งาน เมื่อต้องทำงานกับ “ชีวิตที่สูงวัย” เหล่านี้ จึงควรต้องมีความรู้สึกขอบคุณอยู่ภายในใจ ดังนั้น ทุกครั้งที่เธอทำงานจนเสร็จสมบูรณ์ ก็จะปลูกต้นไม้ต้นหนึ่งในบริเวณใกล้ๆ กับสตูดิโอของตัวเอง
ตลอดสองข้างทางบนเส้นทางที่ทอดไปยังไฮว๋เต๋อจวี มีแต่เงาไม้เขียวชอุ่มร่มรื่น นึกไม่ถึงเลยว่าในตอนแรก ต้นไม้เหล่านี้เกือบจะเหี่ยวเฉาและตายไปแล้ว ช่วงเวลา 15 ปีที่ผ่านมา อุตสาหกรรมเฟอร์นิเจอร์ของไต้หวันได้รับพลังแห่งความสดใสและความมีชีวิตชีวาของคนหนุ่มสาว ถูกนำมาผสมผสานเข้ากับองค์ประกอบของศิลปะและการออกแบบ ทำให้เกิดเป็นเส้นทางใหม่ขึ้นมา เหล่าคนยุคใหม่เหล่านี้ก็พร้อมที่จะร่วมกันปลูกเมล็ดพันธุ์แห่งความเปลี่ยนแปลง ด้วยความหวังที่ว่าจะสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงให้เกิดขึ้นบนผืนแผ่นดินแห่งนี้ได้ในอนาคตข้างหน้า
ไฮว๋เต๋อจวีย้ำเสมอว่า “ใจและมือต้องประสานเป็นหนึ่งเดียว” ด้วยแนวคิดที่ว่า งานหัตถศิลป์และจิตใจของผู้สรรค์สร้างจะเชื่อมโยงต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่อาจทดแทนได้
ไฮว๋เต๋อจวีย้ำเสมอว่า “ใจและมือต้องประสานเป็นหนึ่งเดียว” ด้วยแนวคิดที่ว่า งานหัตถศิลป์และจิตใจของผู้สรรค์สร้างจะเชื่อมโยงต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่อาจทดแทนได้
ไฮว๋เต๋อจวีย้ำเสมอว่า “ใจและมือต้องประสานเป็นหนึ่งเดียว” ด้วยแนวคิดที่ว่า งานหัตถศิลป์และจิตใจของผู้สรรค์สร้างจะเชื่อมโยงต่อกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เครื่องจักรไม่อาจทดแทนได้
Lo Lat Furniture and Objects ร่วมสร้างช่างไม้รุ่นใหม่ ด้วยการรับนักศึกษาฝึกงานจากคณะวิทยาศาสตร์ไม้และการออกแบบของมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีผิงตงเป็นประจำทุกปี
สตูดิโอของอู๋อี๋เหวินอยู่บนภูเขาในเขตซินเตี้ยน ทุกครั้งที่เธอทำงานสำเร็จ 1 ชิ้น ก็จะปลูกต้นไม้ 1 ต้น