ดึงเอาวัฒนธรรมของบ้านเกิด สรรค์ สร้างเป็นท่วงท่าแห่งนาฏศิลป์
กำหนดการแสดงที่ใกล้เข้ามาทุกขณะทำให้ต้องจัด กิจกรรมเสวนาขึ้น 2 รอบ เพื่อประชาสัมพันธ์การแสดง ที่กำลังจะมีขึ้น ซึ่งทั้งเจิ้งจงหลงและหลินเฉียงต่างก็หยิบ เอาเรื่องราวของการนัดพบดื่มกาแฟเป็นครั้งแรกของ ทั้งคู่มาพูดคุยกัน คนหนึ่งเป็นนักเต้น อีกคนหนึ่งเป็นนัก ดนตรี ทั้งคู่เริ่มจากการนัดพบในร้านกาแฟที่แอบอยู่ใน ร้านขายเสื้อผ้าแฟชั่นเพื่อคุยกันในทุกๆ เรื่อง ไม่ว่าจะ เป็นเรื่องชีวิตความเป็นอยู่ ไปจนถึงการรังสรรค์งาน คุย กันอยู่ปีกว่าๆ จนสามารถเข้าใจกันได้เป็นอย่างดี และ พบว่าทั้งคู่ต่างมีทัศนคติที่คล้ายๆ กันในเรื่องของการ สร้างสรรค์ผลงาน
หลินเฉียงบอกว่า “ต่างฝ่ายต่างก็ลองเปิดประตูแห่ง ความคิดในการสร้างสรรค์งานร่วมกัน จากจุดเริ่มต้นที่ ก้าวส่กู ารทำงานด้านวัฒนธรรมไปส่กู ารค้นหาส่งิ ต่างๆ ในอดีตที่เคยถูกกีดกัน เคยถูกมองข้าม หรือที่ถูกมองว่า ไม่ดีไม่งาม รวมไปจนถึงสิ่งที่ถูกมองว่าต่ำชั้น แล้วลอง พินิจพิจารณาสิ่งต่างๆ เหล่านี้อย่างตรงไปตรงมา พร้อม ยอมรับว่าตัวเองก็เติบโตมาพร้อมกับสิ่งเหล่านี้และใช้ ชีวิตอยู่ท่ามกลางสภาพแวดล้อมแบบนี้ ก่อนจะใช้การ เต้นและดนตรีเป็นสื่อกลางในการแสดงสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ออกมา”
เมื่อ 20 กว่าปีก่อนบทเพลงเซี่ยงเฉียนโจ่ว (向前走) ที่หมายถึงก้าวไปข้างหน้า โด่งดังไปทุกตรอกซอกซอย ในไต้หวัน แต่ในปีค.ศ.2002 เขากลับถอยตัวเองจากเวที อันเจิดจรัสมาสู่การทำงานหลังฉาก ผันตัวจากดนตรีร็อค แอนด์โรลแบบตะวันตกมาหาความเป็นพื้นบ้าน หลิน เฉียงบอกว่า “การค้นหาตัวตนทางวัฒนธรรมของตัว เอง” ถือเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งหลายปีมานี้ แนวคิดการกลับ คืนสู่ความเป็นพื้นบ้านได้รับความนิยมมากขึ้นเรื่อยๆ จนทำให้งานวัด คนทรงเจ้า และองค์ประกอบอีกหลาย อย่าง กลายสภาพเป็นเหมือนตัวต่อราคาถูกๆ เพียง เพราะหลายคนต้องการสนองความอยากแบบผิวเผิน นี้ คนสร้างสรรค์งานหลายคนนำเอาอะไรหลายๆ อย่าง มาใช้เพียงเพราะต้องการจะใช้มัน ไม่ได้ใช้เพราะเกิด จากความรักความชอบจริงๆ หากอยากจะลงลึกในส่วน ของวัฒนธรรมพื้นบ้าน นอกจากประวัติศาสตร์ในช่วงปลายราชวงศ์ชิงหรือช่วงต้น สาธารณรัฐ(จีน)แล้ว ยังมีองค์ประกอบหรือปัจจัยอีกหลายอย่างที่คุ้มค่าต่อการขุด ค้นหา
เจิ้งจงหลง เริ่มเรียนนาฏศิลป์มาตั้งแต่อายุ 8 ขวบ เข้าเรียนในชั้นเรียนที่สอน นาฏศิลป์ตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงชั้นมัธยม แม้แต่ระดับมหาวิทยาลัยก็เลือกเรียนใน คณะที่เกี่ยวกับนาฏศิลป์ที่มหาวิทยาลัยศิลปะแห่งชาติไทเป (Taipei National University of Arts) ก่อนจะกลายมาเป็นผู้แสดงนาฏศิลป์ในสังกัดของคณะ Cloud Gate ซึ่งเป็นคณะนาฏศิลป์ชื่อดังของไต้หวัน การที่ได้รับการศึกษาและฝึกซ้อมตาม แนวทางแบบตะวันตกมาอย่างยาวนานจนได้ขึ้นไปยืนอยู่บนเวทีระดับโลก ก่อนจะพบ ว่าตัวเองไม่เข้าใจวัฒนธรรมพื้นบ้านของถิ่นกำเนิดเลย ทำให้เขาตัดสินใจย้อนกลับมา เรียนรู้สิ่งเหล่านี้ใหม่
โดยการแสดงชุดตู้เหลียนขุย (杜連魁) ในปี 2014 และชุดไหล (來) ในปี 2015 เจิ้ง จงหลงได้หยิบเอาองค์ประกอบของวัฒนธรรมงานวัด ทั้งขบวนแห่เจ้า การทรงเจ้า เอามาใช้ และหากย้อนเวลากลับไปนานกว่านั้น กับการแสดงชุดแรกในชีวิตของเจิ้ง จงหลงในชุดเจี่ยว (筊) ในปี 2010 และการแสดงชุดไจ้ลู่ซั่ง (在路上) ก็ได้มีการนำ เอาขบวนปาเจียเจี้ยง (八家將) มาประยุกต์ใช้เช่นกัน เห็นได้ชัดถึงความพยายาม ของเจา้ ตวั ทจี่ ะนำเอาวฒั นธรรมพนื้ บา้ นทอี่ ยใู่ นความทรงจำของคนไตห้ วนั มาใชเ้ ปน็ รากฐานของการสรรค์สร้างผลงาน และในผลงานชุดล่าสุดอย่าง 13 เสียง (十三聲 สือซานเซิง) เขาก็ได้หยิบเอาตำนานของ “สือซานเซิง” ผู้โด่งดังในแถบหมงเจี่ยมาใช้
คุณแมข่ องเจงิ้ จงหลงเปน็ ผ้เู ลา่ เรอื่ งราวทถี่ กู นำ มาใชเ้ ปน็ โครงเร่อื งของผลงานชดุ นี้ ว่า มีอยู่วันหนึ่ง หลังการแสดงชุดไหล (來) จบลง เจิ้งจงหลงได้พูดคุยกับคุณแม่บน รถอย่างตื่นเต้นถึงเรื่องราวของงานวัด ขบวนแห่เจ้า และคนทรงเจ้า แต่คุณแม่ที่ใช้ ชีวติ อยกูั่บสงิ่ เหล่านใี้ นแถบว่านหัวมาเป็นเวลาช้านานกลับไม่รสูึ้กถงึ ความแปลกใหม่ จึงได้เล่าตำนานของบุคคล ที่มีชื่อเสียงในแถบว่านหัว ในยุคปี 1960 ที่ชื่อว่า “สือ ซานเซิง” ให้เขาฟัง
โดย “สือซานเซิง” เป็น ชื่อของคนขายยาผู้หนึ่ง เมื่อใดก็ตามที่เขาปรากฏ กายขึ้น ก็จะมาพร้อมกับ เสียงร้องงิ้ว ไม่ว่าจะเป็น เฉินซานอู่เหนียง (陳三五娘) หรืออูเผินจี้ (烏盆記) และแม้จะมีเพียงคนเดียว แต่สามารถแสดงได้หลาย บทบาทอย่างไม่เคอะเขิน เดี๋ยวหญิงเดี๋ยวชาย ทั้ง ร้องทั้งพูด ซึ่งในตอนท้าย ขณะที่เสียงปรบมือและ เสียงชื่นชมดังไปทั่ว เจ้า ตัวก็ไม่ลืมที่จะขายยาของ ตัวเองไปด้วย เมื่อใดก็ตามที่เขามาปรากฏตัว ผู้คนก็จะ พากันบอกต่ออย่างตื่นเต้นว่า สือซานเซิงมาแล้ว! สือ ซานเซิงมาแล้ว!
“สือซานเซิง” สามารถเปลี่ยนบทบาทที่แสดงได้ภายใน พริบตา ด้วยการเปลี่ยนเสียงร้องเป็นเดี๋ยวสูงเดี๋ยวต่ำ และในวินาทีน้นั มันก็เหมือนกับการแสดงบนเวทีน่นั แหละ เจิ้งจงหลงได้ยินเรื่องนี้แล้วรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก จึง ตัดสินใจที่จะนำเรื่องราวนี้มาใช้ในการสร้างสรรค์งาน แสดงชุดใหม่ และการเกิดขึ้นของ “สือซานเซิง” ก็เป็น เสมือนกุญแจที่เปิดประตูสู่โลกของเจิ้งจงหลงตัวน้อย ด้วยการดึงให้เขาย้อนกลับไปหวนรำลึกถึงความทรงจำ เมื่อครั้งยังเยาว์วัย
เต้นไปด้วยขายรองเท้าไปด้วย ความ ผันผวนของชีวิตในความทรงจำ
เจิ้งจงหลงบอกอย่างไม่อายอดีตว่า เขาเคยเป็นคนขาย ของตามท้องถนน
เติบโตมาในครอบครัว คนธรรมดาในแถบว่าน หัว คุณพ่อของเจิ้งจงหลง เป็นคนขายของ เคยขาย ทั้งผ้าและรองเท้ามาแล้ว เจิ้งจงหลงในวัย 8 ขวบ ที่กำลังซนถูกคุณแม่ส่งไป เรียนนาฏศิลป์ที่โรงเรียน นาฏศิลป์ ซึ่งเจ้าตัวก็ได้ โอกาสในการแสดงความ สามารถออกมา
ในขณะนั้น คุณพ่อของ เจิ้งจงหลงเชื่อว่า ท้อง ถนนคือห้องเรียนที่ดีที่สุด คุณพ่อจึงมักจะขับรถ บรรทุกเล็กๆ แล้วพาเขา ไปทิ้งไว้บนถนนกว่างโจว เจียอันคึกคักพร้อมกับ รองเท้าแตะหนึ่งถุง
เจิ้งจงหลงในวัยเด็กจึงเรียนนาฏศิลป์ไปด้วยและขาย ของตามท้องถนนไปด้วย ซึ่งเขาต้องตะเบ็งเสียงแข่งกับ คณุ ลงุ คณุ ปา้ ทงั้ หลายตามทอ้ งถนนแถบหมงเจยี่ เพอื่ ขาย สินค้าของตัวเอง เวลาผ่านไปนานวันเข้า เจิ้งจงหลงจึง ได้เรียนรู้กฎแห่งการเอาตัวรอดตามท้องถนน นอกจากนี้ ตามตรอกซอกซอยยังมีอีกโลกหน่งึ ท่แี ตกต่างกันอย่างส้นิ เชิง หากเขาหลุดเข้าไปตามตรอกซอยเล็กๆ เหล่านี้แล้ว จะพบเห็นสิ่งที่น่าตกใจต่อหน้าต่อตาไม่น้อยเลยทีเดียว “ในห้องเล็กๆ ก็จะมีน้าผู้หญิงแต่งหน้าแบบจัดๆ แอบ ส่งรอยยิ้มหว่านเสน่ห์อยู่หลังม่านสีฉูดฉาด พร้อมกวักมือ เรียกให้เราเดินเข้าไปหา ที่มุมถนนมีผู้ชายท่าทางน่าเกรง ขาม มองเพียงปราดเดียวก็รู้สถานะของเจ้าตัว ด้านข้าง รายล้อมไปด้วยกลุ่มผู้ชายใส่เสื้อเชิ้ตลายดอก กับท่าเดิน แบบกร่างๆ แบบนี้ แบบนี้...” ว่าแล้วเจิ้งจงหลงก็ทำท่า เดินกร่างแบบเหล่าอันธพาลที่แสนจะกักขฬะให้ดู
ภาพความหลังเม่อื คร้งั เยาว์วัยท่เี จ้งิ จงหลงย้อนรำลึก ขึ้นมาได้นี้กลายมาเป็นความทรงจำอันแปลกใหม่ ดังนั้น เจงิ้ จงหลงจงึ ไดน้ ำเอาภาพความประทบั ใจในวยั เดก็ ของ หลินปิ่งเหา (林秉豪) ออกแบบชุดโดยได้แรงบันดาลใจจากสีสันอันสดใส ของวัฒนธรรมงานวัดในไต้หวัน (ภาพจากคณะ Cloud Gate) ย่านถนนกว่างโจวเจียที่เขาใช้ชีวิตอยู่มาดัดแปลงให้กลาย เป็นฉากที่ 1 ของสือซานเซิงเสียเลย
ทลายกรอบแห่งการสร้างสรรค์งาน นำมาซึ่งผลงานอันสมบูรณ์แบบ
การร่วมงานระหว่างเจิ้งจงหลงและหลินเฉียง เกิด ขึ้นผ่านการชักชวนของเหอเจียซิง (何佳興) ซึ่งเป็นนัก ออกแบบงานศิลป์ของการแสดงชุดสือซานเซิง
หลายปีมานี้ หลินเฉียงได้แต่งเพลงให้กับภาพยนตร์ดังๆ ของทั้งจีนแผ่นดินใหญ่ ไต้หวันและฮ่องกงเป็นจำนวน ไม่น้อย เช่น เนี่ยอิ่นเหนียง (聶隱娘: The Assassins) ซานเสียห่าวเหริน (三峽好人: Still Life) การมาทำ ดนตรีประกอบนาฏศิลป์ในครั้งนี้ หลินเฉียงบอกว่ามัน เป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย เขาจึงต้องอาศัยการพูดคุยกับเจิ้ง จงหลง และการเข้าชมการฝึกซ้อมเป็นฉากๆ เพื่อค้นหา แนวทางในการทำงานของตน
ในส่วนของเจิ้งจงหลงนั้น ก็ถือเป็นความท้าทายของ เขาเช่นกัน เพราะแต่เดิมเจ้าตัวจะเริ่มการออกแบบท่า เต้นต่างๆ หลังจากที่ได้ฟังดนตรีประกอบแล้วเท่านั้น ทำให้การร่วมงานกันของทั้งคู่ในครั้งนี้เป็นการทำงาน ในแบบที่ต่างก็ละทิ้งแนวทางเดิมของตัวเอง ก่อนจะพบ ว่าสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างเข้าขากันเป็นอย่าง มาก หลินเฉียงได้ใช้เพลงพื้นบ้านในแถบเหิงชุนทางภาค ใต้ของไต้หวันมาผสมผสานกับดนตรีลำ้ สมัยในแบบเทค โน 7 ช่วง มาประกอบเข้ากับท่าเต้นที่เจิ้งจงหลงเป็นผู้ ออกแบบได้อย่างพอเหมาะพอเจาะ จนแม้แต่เจิ้งจงหลง ยังบอกเลยว่า มันลงตัวเสียจนไม่ต้องแก้ไขอะไรทั้งนั้น
ชื่อการแสดงคือสือซานเซิง เมื่อนำมาประกอบเข้ากับ ดนตรีของหลินเฉียง ทำให้เซิงอิน (聲音) หรือเสียง มีน้ำ หนักท่สี ำคัญเป็นอย่างย่งิ ในการแสดงชุดสือซานเซิงชุด นี้ แต่เจิ้งจงหลงกลับบอกว่า เสียงและร่างกายเป็นหนึ่ง เดียวกันตั้งแต่แรกอยู่แล้ว ซึ่งเจ้าตัวก็เปรียบเทียบให้ฟัง ว่า มันก็เหมือนกับทารกแรกเกิดที่ร้องอย่างสุดเสียงไป พร้อมๆ กับสะบัดแขนไปมาอย่างเต็มกำลังมิใช่หรือ?
“สือซานเซิง” หรือ 13 เสียง มีเสียงที่มากกว่า 12 เสียง อยู่ 1 เสียง ก็เหมือนกับสุ้มเสียงและสำเนียงทั้งหลายของ ไต้หวัน ที่หากตั้งใจฟังให้ดีแล้วจะพบว่า เสียงกระดิ่งที่ดัง กร๊งิ กร๊างกับท่วงท่าและการขยับเท้าของเหล่านักแสดง มันก็คือสิ่งที่เราทุกคนที่อาศัยอยู่ในไต้หวันต่างก็มีความ รู้สึกที่คุ้นเคยกับสิ่งเหล่านี้เป็นอย่างดี