สุดยอดแห่งความทรงจำ—รถไฟลอดอุโมงค์
คนไต้หวันที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป หากต้องจากบ้านไม่ว่าจะไปเรียนหนังสือ รับราชการทหาร หรือทำงาน ล้วนมีความทรงจำที่เกี่ยวกับรถไฟทั้งนั้น เซียวจวี๋เจินพรั่งพรูความรู้สึกที่ได้จากการสังเกตของตนเอง
นอกจากเป็นผู้กำกับภาพยนตร์แล้ว เซียวจวี๋เจินยังเป็นอาจารย์สอนวิชาภาพยนตร์ไต้หวันในมหาวิทยาลัยแห่งชาติชิงหัว (National Tsing Hua University) เธอกล่าวว่า “ฉันคิดว่ารถไฟมีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งต่อความทรงจำในอดีตที่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันของสามัญชนทั่วไปในไต้หวัน”
ในระหว่างการถ่ายทำภาพยนตร์ คำพูดประโยคหนึ่งของวิศวกรโครงการซึ่งทำงานก่อสร้างอุโมงค์ ที่กล่าวว่า “อุโมงค์จงยาง ที่มีระยะทางเพียง 8 กิโลเมตรเศษ ต้องใช้เวลาในการเจาะอย่างน้อย 8 ปี แต่ปัจจุบันใช้เวลาแค่ไม่กี่นาที แป๊บเดียวก็ผ่านไปแล้ว พวกคุณไม่มีวันรู้หรอกว่าในตอนนั้นพวกเราต้องเจอกับอะไรบ้าง” ได้กลายเป็นแรงกระตุ้นให้เซียวจวี๋เจินตัดสินใจถ่ายทำภาพยนตร์สารคดี เพราะต้องการขุดคุ้ยเรื่องราวที่เกี่ยวข้องออกมาให้ได้มากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะถ่ายทอดเรื่องราวให้คนรุ่นต่อไปได้รับรู้ “เมื่อมีเรื่องราวก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยง ก็เหมือนกับตัวฉันในปัจจุบันที่มีความรู้สึกเชื่อมโยงและผูกพันกับเส้นทางรถไฟสายใต้นั่นเอง” นี่คือคำพูดที่กลั่นออกมาจากความรู้สึกของเซียวจวี๋เจิน
เคยมีเด็กนักเรียนคนหนึ่งได้แสดงความคิดเห็นต่อเรื่องราวที่เธอแบ่งปันว่า “อาจารย์คะ คราวหน้าถ้าหนูได้โดยสารรถไฟสายใต้ ช่วงที่วิ่งผ่านอุโมงค์จงยาง หนูจะไม่หลับอีกแล้ว หนูจะตั้งใจดู” เซียวจวี๋เจินกล่าวอย่างติดตลกว่า “ภายในอุโมงค์มืดมิดไปหมด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเธอจะดูอะไร” แต่เมื่อเข้าใจเรื่องราวของผืนแผ่นดิน ก็จะทำให้เกิดการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้คนกับท้องถิ่น แม้ว่าจะเป็นเพียงก้าวเล็กๆ แต่ก็สามารถดึงผู้คนให้เข้ามาใกล้ชิดกับผืนแผ่นดินได้มากยิ่งขึ้น
ทัศนียภาพที่พบเห็นจากการท่องเที่ยวแบบไม่เร่งรีบ
กู่ถิงเหว่ยเปิดเผยว่า “หลังจากที่ทางด่วนสายตะวันตกเปิดใช้งาน การรถไฟไต้หวันก็สูญเสียความได้เปรียบด้านการเดินทางระยะไกล ในขณะนั้นมีเพียงเส้นทางรถไฟสายเหนือทางฝั่งตะวันออกและเส้นทางสายใต้ที่มีศักยภาพในการแข่งขันเทียบเคียงได้กับการเดินทางโดยรถยนต์บนทางหลวง แต่ปัจจุบันทางด่วนสายซูอ้าว-ฮัวเหลียนที่ปรับปรุงใหม่และทางด่วนสายใต้ที่มีการต่อขยายเพิ่มเติมเปิดใช้งานแล้ว ทำให้การเดินทางในปัจจุบันได้ก้าวเข้าสู่ยุคใหม่ของการเดินทางแล้ว”
จากการถอดบทเรียนข้างต้น เส้นทางสายใต้อาจเป็นโอกาสที่จะช่วยพลิกฟื้นความสนใจของประชาชนให้กลับมาทำความรู้จักและสัมผัสประสบการณ์ในการเดินทางด้วยรถไฟด้วยตนเอง หลิวเค่อเซียงซึ่งส่งเสริม “การท่องเที่ยวแบบเนิบช้า” กล่าวว่า “Slow travel หรือการท่องเที่ยวแบบเนิบช้า ไม่ใช่ให้เดินทางช้าๆ แต่เป็นการเที่ยวชมทัศนียภาพของไต้หวันที่แตกต่างออกไปอย่างช้าๆ ไม่เร่งรีบ ทัศนียภาพที่พิเศษเหล่านั้น หากเร่งรีบก็จะหาไม่เจอ “ช้า” ไม่ได้หมายถึง “เชื่องช้า” แต่หมายถึง “การสัมผัสประสบการณ์ด้วยตนเองอย่างไม่เร่งรีบเพื่อเป็นการเปิดโลกทัศน์และชมทัศนียภาพที่แตกต่างออกไป”
หลิวเค่อเซียงคุ้นเคยกับเส้นทางสายใต้ตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาใช้ความรู้เกี่ยวกับวิชาพิพิธภัณฑ์ศึกษามาประยุกต์ใช้ในการเดินทางท่องเที่ยว เมื่อเดินทางไปชมสถานีรถไฟต้าอู่ เขาก็จะเล่าตำนานบ้านเกิดของเสือดาว และเขายังเล่าว่า ตลอดเส้นทางตั้งแต่ฟางซานไปจนถึงไถตง ล้วนเป็นที่อยู่อาศัยของชนเผ่าผายวัน (Paiwan) อาจกล่าวได้ว่าเป็นการเดินทางท่องเที่ยวที่มีบรรยากาศแบบต่างประเทศภายในเกาะไต้หวัน เรื่องราวเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ ล้วนเป็นการเพิ่มอรรถรสในการเดินทางท่องเที่ยวให้หลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้ว นี่คือทัศนียภาพแห่งการท่องเที่ยวแบบเนิบช้านั่นเอง
เส้นทางรถไฟไม่ได้เป็นเพียงแค่เส้นทางคมนาคมเท่านั้น แต่จากการที่เส้นทางสายใต้เปลี่ยนมาใช้ระบบไฟฟ้าและช่วยย่นระยะเวลาในการเดินรถให้สั้นลง การเชื่อมโยงกันระหว่างสถานีรถไฟแต่ละแห่งจะยิ่งมีประสิทธิภาพมากขึ้น แต่นอกจากความรวดเร็วในการเดินทางแล้ว สิ่งที่สำคัญกว่านั้น เส้นทางรถไฟของไต้หวัน “จะทำให้คุณมองเห็นเส้นทางของไต้หวันที่แตกต่างออกไป” หลิวเค่อเซียงสรุปในตอนท้ายด้วยน้ำเสียงที่แผ่วเบา