พื้นที่จัดแสดงแห่งที่ 1: ต้นไม้เดินได้
พื้นที่แห่งแรกของนักท่องเที่ยวที่มาชมพิพิธภัณฑ์ป่าไม้คือ ต้นไม้เดินได้ ซึ่งก็คือ ต้นไทรย้อยใบแหลม (Ficus benjamina) พืชในวงศ์ขนุน (Moraceae) ไม้พุ่มเขียวชอุ่มตลอดปี
มองดูต้นไทรย้อยใบแหลม จะรู้สึกตื่นตะลึงต่อกิ่งรากที่แผ่ขยายสลับไปมา ต้นไม้ต้นเดียวขยายกลายเป็นดงไม้ รากอากาศที่เติบโตอย่างรวดเร็ว เมื่อแตะลงพื้นจะเจาะเข้าไปในดินและค่อยๆ กลายเป็นลำต้น รากที่ขยายแผ่ออกไปรอบทิศทำให้ดูแล้วราวกับเป็นต้นไม้เดินได้
พื้นที่จัดแสดงแห่งที่ 2: ป่าไม้ Avatar
หลังจากกินเนื้อย่างที่จัดไว้ต้อนรับ ดื่มน้ำบำรุงสุขภาพที่มีส่วนผสมของอ้อย ขมิ้น ขิงสด และใบอบเชยที่นำมาชงรวมกัน จากนั้นจึงเข้าไปในดงไม้ยักษ์ของต้นไม้ในสกุลโพและมาชิลัส (Ficus and Machilus) ที่อนุรักษ์ไว้อย่างสมบูรณ์ในพื้นที่ภูเขาเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง ในฐานะผู้มาเยือนที่มีมารยาท จะต้องนำเหล้าขาว 1 ขวด และหมาก 1 ห่อ ไปวางเซ่นไหว้บนแท่นบูชาที่มีหัวกะโหลกหมูป่าเรียงรายอยู่ เพื่อแสดงความเคารพต่อวิญญาณบรรพชนด้วยความนอบน้อม
การพิชิตด่านแรกของการไต่เขา จะต้องเผชิญความท้าทายในการเดินข้ามรากต้นไม้รูปทรงแปลกประหลาดที่ตั้งเป็นแผ่นแข็ง และต้องเดินลอดผ่านกิ่งไม้บิดเกลียวที่ห้อยย้อยจากข้างบนลงมาข้างล่าง จากนั้นเดินเข้าไปในช่องที่แคบมากถึงกับต้องเดินผ่านด้วยด้านข้างของลำตัว ช่องแคบๆ ระหว่างซอกหินนี้เกิดจากแผ่นเปลือกโลกฟิลิปปินส์ดันตัวขึ้นมาจากทะเล เป็นทิวทัศน์ที่เป็นเอกลักษณ์ของเทือกเขาริมชายฝั่ง
หลังเดินผ่านหินก้อนใหญ่เข้าไปอยู่ท่ามกลางต้นไทร มองไปข้างหน้าจะเห็นต้นไทรย้อยอีกต้นหนึ่งที่สูงเสียดฟ้า จับเชือกให้แน่น ใช้มือและเท้าในการไต่ขึ้นไปบนต้นไทรย้อยที่สูงเท่าตึก 2 ชั้น และสนุกกับการปีนป่ายหน้าผา
บทเรียนที่ 1: บทเรียนด้านจริยธรรมในการใช้ชีวิต
หลังจากการเดินเส้นทางโบราณของเหล่านายพราน นักท่องเที่ยวต่างก็เริ่มหิว แต่ก่อนจะได้กินอาหารต้องเรียนรู้จริยธรรมของการใช้ชีวิตในสังคมเสียก่อน
อ. Long บอกว่า “พวกเราชาวบูนันให้ความสำคัญกับผู้หญิง 4 คน อันดับแรก คือ ต้องเชื่อฟังคุณย่า เพราะคุณย่าจะเล่านิทานและสิ่งที่สืบทอดกันมาของชนเผ่า อันดับ 2 คือ ต้องกตัญญูต่อคุณแม่ เพราะในโลกนี้ไม่มีใครทดแทนแม่ได้ อันดับ 3 คือ ต้องรักภรรยา ส่วนอันดับ 4 คือใคร?” มีผู้ตอบว่า ลูกสาว แต่ อ. Long พูดอย่างหนักแน่นว่า “ลูกสาวเมื่อแต่งงานออกเรือนไป ก็ไม่กลับมาแล้ว เพราะฉะนั้นขอให้ทุกท่านให้ความนับถือต่อลูกสะใภ้ด้วย เนื่องจากผู้หญิงทั้ง 4 คนนี้ แม้จะไม่ใช่คนในชนเผ่าของเรา แต่เป็นลูกสาวคนอื่นที่แต่งเข้ามาอยู่ในบ้านของเรา พวกเราจะต้องปฏิบัติต่อพวกเขาเป็นอย่างดี” ดังนั้นผู้ชายยุคใหม่ที่ดีจะต้องรู้จักตักข้าวและเสิร์ฟอาหารให้ผู้หญิงด้วย
แขกผู้มาเยี่ยมเยือนพิพิธภัณฑ์ป่าไม้แห่งนี้ นอกจากจะต้องเตรียมชามข้าวและตะเกียบเอง รวมทั้งห้ามทิ้งขยะเรี่ยราดแล้ว ยังต้องปฏิบัติต่อผู้อื่นด้วยการให้เกียรติ ช่วยตักข้าว เสิร์ฟอาหาร ปลุกจิตสำนึกของการให้บริการให้เข้าไปอยู่ในใจของทุกคน
บทเรียนที่ 2: บทเรียนด้านจริยธรรมต่อสิ่งแวดล้อม
ในที่สุด เราก็ได้ลิ้มรสอาหารแสนอร่อยของชาวบูนันจนได้ เนื้อหมูติดมันที่พะโล้ด้วยสมุนไพรหงเถิง (紅藤) มีสีคล้ำโดยไม่ต้องใส่ซีอิ๊ว ใบผักกาดช้างห่อเห็ดเข็มทองทอดที่กรอบอร่อย ใบเจี่ยซวนเจียง (假酸漿) ห่อข้าวฟ่างและหมูติดมันซึ่งเรียกว่า A-Bai คืออาหารประจำเทศกาลเฉลิมฉลองต่างๆ และยังมียอดฟักแม้วผัดบะหมี่สำเร็จรูปที่เป็นอาหารง่ายๆ ใช้รับประทานขณะทำงานบนภูเขา นอกจากนี้ ยังมีอาหารที่ใช้ผักตามฤดูกาลเป็นวัตถุดิบ เช่น สลัดบ๊วย แตงกวาคลุกกับเสาวรส ฟักแม้ว ฟักทอง ฯลฯ Aliman เน้นว่า “ป่าไม้ก็คือตู้เย็นของพวกเราชาวบูนัน อาหารทุกคำที่กลืนลงท้องล้วนมาจากผืนแผ่นดินประทานให้เป็นของขวัญ”
Aliman ยึดมั่นในการอนุรักษ์ธรรมชาติ ในเขตพิพิธภัณฑ์จึงไม่มีการใช้ไฟฟ้า ไม่มีแก๊สหุงต้ม คนทำงานต้องตื่นตั้งแต่ 7 โมงเช้า เริ่มก่อฟืน ข้าวที่หุง ผักที่ลวก ต่างก็มีรสชาติจากธรรมชาติอย่างแท้จริง
การลิ้มรสอาหาร การเดินท่องไปบนเส้นทางโบราณของนายพราน ทำให้ผู้มาเยือนได้มีโอกาสเข้าใจในวัฒนธรรมของชาวบูนันในเชิงลึก ก่อนเดินทางกลับ ทุกคนร่วมกันปลูกต้นไม้หนึ่งต้น มือประสานกันร้องเพลงอวยพรต้นไม้เล็ก ด้วยเพลงประสานเสียง 8 ระดับ (Eight-Part) ของชาวบูนัน จนดังกึกก้องไปทั่วทั้งป่า การไปท่องพิพิธภัณฑ์เพื่อสร้างความใกล้ชิดกับป่าไม้ในครั้งนี้ ถือเป็นความทรงจำที่ยากจะลืมเลือนจริงๆ