ในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา ได้มีการนำเครื่องเทศและสมุนไพรจากต่างชาติ เช่น กะเพรา ขมิ้น มะขาม และตะไคร้ เป็นต้น มาปรุงแต่งอาหารประจำวันของไต้หวัน พืชสมุนไพรเหล่านี้คือความคิดถึงรสชาติของอาหารบ้านเกิดที่ชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นำเข้ามายังไต้หวัน หลังจากมาใช้ชีวิตและอาศัยอยู่ที่นี่รสชาติความทรงจำของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกปลุกขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กับการเติมเต็มวัฒนธรรมการกินของไต้หวันให้มีความหลากหลายมากขึ้น และยังเชื่อมโยงให้ชาวไต้หวันได้รู้จักกับชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในอีกแง่มุมหนึ่งที่น่าสนใจ
เดือนกรกฎาคม 2017 พิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน (國立臺灣博物館 : National Taiwan Museum) ได้จัดแสดงนิทรรศการพิเศษเรื่องรสชาติแห่งบ้านเกิด กลิ่นรสจากเอเชียอาคเนย์ (The Taste of Hometown : Southeast Asia Flavors) โดยให้ความรู้เกี่ยวกับเครื่องเทศและสมุนไพรที่ใช้ในชีวิตประจำวันของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ซึ่งจะมีการแนะนำถึงต้นกำเนิด จุดเด่น ตลอดจนกรรมวิธีการปรุงอาหารจากเครื่องเทศและสมุนไพรของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นอกจากนี้ยังมีเรื่องราวของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่มาอาศัยอยู่ในไต้หวันอีกด้วย เพื่อให้ชาวไต้หวันสามารถแยกแยะความแตกต่างของรสชาติขณะลิ้มลองอาหารเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งได้สัมผัสความรู้สึกคิดถึงบ้านของผู้ที่จากบ้านเกิดมาอยู่ในไต้หวัน
กลิ่นรสจากเอเชียอาคเนย์ รสชาติแห่งบ้านเกิด
คุณหงซื่อยิ่ว (洪世佑) ผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน เล่าถึงความเป็นมาของนิทรรศการครั้งนี้ว่า ผู้ที่คุ้นเคยกับประวัติศาสตร์ไต้หวันต่างรู้ว่า ไต้หวันเป็นถิ่นที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรม และซึมซับวัฒนธรรมใหม่อย่างไม่ขาดสาย ดังจะเห็นได้จากความหลากหลายด้านอาหารการกินซึ่งมีการผสมผสานอาหารของชนเผ่าต่างๆ ในจีนแผ่นดินใหญ่เข้ากับอาหารไต้หวัน ในปี 1992 การอพยพเข้ามาอยู่ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ทำให้อาหารไต้หวันรับอิทธิพลจากวัฒนธรรมอาหารเอเชียอาคเนย์มากขึ้น และกลายเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมการกินของไต้หวันในปัจจุบัน
ในฐานะที่เป็นพิพิธภัณฑ์ที่ให้ความสำคัญต่อวัฒนธรรมที่หลากหลาย ทางพิพิธภัณฑ์ได้จัดนิทรรศการพิเศษเรื่อง วัฒนธรรมและความเป็นอยู่ของชาวอิสลาม เมื่อปี 2014 ผลปรากฏว่าได้รับการตอบรับที่ดี โดยในปี 2015 ได้จัดให้มีทูตบริการนำชมพิพิธภัณฑ์ด้วยภาษาแม่ของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ถือเป็นผู้บุกเบิกด้านพิพิธภัณฑ์ไต้หวันอย่างแท้จริงซึ่งทางพิพิธภัณฑ์ได้มีการจัดนิทรรศการพิเศษอย่างต่อเนื่อง โดยในปีนี้ได้จัดนิทรรศการเรื่อง รสชาติแห่งบ้านเกิด กลิ่นรสจากเอเชียอาคเนย์
วันที่ 22 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันเปิดนิทรรศการ รสชาติแห่งบ้านเกิด กลิ่นรสจากเอเชียอาคเนย์ ที่จัดขึ้น ณ สวนหนานเหมิน (南門) ภายในพิพิธภัณฑ์แห่งชาติไต้หวัน มีชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้จำนวนมากแต่งกายด้วยชุดประจำชาติที่งดงามมาเข้าร่วมงาน ซึ่งนอกจากจะแสดงให้เห็นถึงเอกลักษณ์และความสวยงามของแต่ละประเทศแล้ว ยังมีการปรุงอาหารพื้นเมืองที่ให้รสชาติแบบเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แท้ๆ ที่มีความหลากหลายทั้งด้านรสชาติและสีสันอันเย้ายวนให้ผู้ที่พบเห็นต่างต้องการที่จะลิ้มลอง
เมื่อเดินเข้าไปในงานสิ่งแรกที่เห็นคือแผนที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ขนาดใหญ่ในการศึกษาทางด้านมานุษยวิทยาแบ่งขอบเขตการศึกษาออกเป็น 2 ส่วนคือ คาบสมุทรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (หมายถึง คาบสมุทรอินโดจีน หรือ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้บนแผ่นดินใหญ่) และหมู่เกาะเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในส่วนของคาบสมุทรได้แก่ เวียดนาม ลาว กัมพูชาไทย และเมียนมาร์ รวม 5 ประเทศ สำหรับหมู่เกาะต่างๆ จะกระจายอยู่ในมหาสมุทรแปซิฟิกและอินเดีย จำนวนสองหมื่นกว่าเกาะ ซึ่งครอบคลุมไปถึงอินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย สิงคโปร์ บรูไน และ ติมอร์ตะวันออก รวม 6 ประเทศ
การเดินชมนิทรรศการหนึ่งรอบ โดยมีคุณเฉินซิ่นจวิน (陳信鈞) เป็นมัคคุเทศก์นำชมพื้นที่จัดแสดงทำให้สามารถเข้าใจได้ในทันทีว่าสภาพภูมิอากาศและสิ่งแวดล้อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับการเลือกใช้เครื่องเทศของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่างไรเช่น ประเทศในคาบสมุทรเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ นิยมใช้เครื่องเทศสดในการปรุงอาหาร แต่ประเทศหมู่เกาะต่างๆ เนื่องจากอาหารไม่เพียงพอ จึงมักนำผลและเมล็ดของพืชมาตากแห้งแล้วบด เพื่อใช้เป็นส่วนผสมในการหมักอาหารชนิดต่างๆ
ในระหว่างการบรรยาย คุณเฉินซิ่นจวินไม่ลืมที่จะแก้ไขความรู้ที่ไม่ถูกต้องเกี่ยวกับอาหารของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อาทิ ต่าเพา (打拋) ในภาษาจีน ไม่ใช่การทุบแต่หมายถึง ใบกะเพรา สำหรับคำว่า กาหลี่ (咖哩) ในภาษาจีน ไม่ใช่ผงกะหรี่ แต่เป็นเครื่องแกงซึ่งเกิดจากการบดผสมเครื่องเทศต่างๆ เข้าด้วยกัน และเครื่องแกงของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แต่ละครอบครัวจะมีรสชาติที่ไม่เหมือนกันหรือแม้แต่ความเข้าใจผิดที่ว่า เมนูกุ้งกระเบื้อง (月亮蝦餅 อ่านออกเสียงว่า เยว่เลี่ยงเซียปิ่ง หรือแปลว่า กุ้งพระจันทร์)เป็นเมนูที่ชาวไต้หวันคิดค้นขึ้น
ความหลากหลาย ความซับซ้อนกลิ่นรสเอเชียอาคเนย์
คุณหยวนซวี่เหวิน (袁緒文) ผู้วางแผนและดำเนินการจัดนิทรรศการ บอกว่า การจัดนิทรรศการครั้งนี้ พวกเราได้สัมภาษณ์ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จาก 4 ประเทศ และมีการนำอาหารและเครื่องเทศของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถึง 7 ประเทศมาจัดแสดงภายในงานด้วย
เครื่องเทศจากเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่มีอยู่มากมายหลายชนิดถูกนำไปใช้ปรุงเป็นอาหารที่หลากหลาย มีการนำเครื่องเทศกระป๋องมาจัดแสดงภายในงานกว่า 10 ชนิด เช่น พริกไทย กานพลู มะขาม อบเชย ลูกผักชี กระวานเขียว ยี่หร่า และมะเยา เป็นต้น คุณหยวนซวี่เหวินย้ำด้วยว่า เครื่องเทศทั้ง 10 กระป๋องที่เห็นนี้เป็นเพียงเครื่องเทศที่ต้องใช้กันเป็นประจำยังมีพืชสมุนไพรหรือพืชปรุงรสชนิดอื่นที่นำมาจัดแสดงเป็นภาพอยู่บนฝาผนังอีกด้วย เช่น สะระแหน่ ตะไคร้ ลักซา ใบเตย มะกรูด ผักชี ขมิ้น และกะเพรา เป็นต้น
ข้อมูลเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและเครื่องเทศมีอยู่มากจนไม่สามารถจดจำได้หมด ดังนั้น ก่อนการสัมภาษณ์ คุณหยวนซวี่เหวินจะเตรียมหาข้อมูลเกี่ยวกับพืชสมุนไพรและเครื่องเทศทั้ง 10 ชนิดของประเทศนั้นๆ ไว้ล่วงหน้า พร้อมกับแจ้งเนื้อหาที่จะพูดคุยกันให้ผู้รับการสัมภาษณ์ได้ทราบก่อน แต่ผู้รับการสัมภาษณ์ที่มีความกระตือรือร้นมักจะช่วยเพิ่มให้เธออีก 30 ชนิด และยังบอกด้วยว่า เครื่องเทศที่พวกเขาใช้จริงๆ ยังมีอีกเยอะมาก ทำให้เธอเกือบจะรับไม่ไหว
หลังทำการสัมภาษณ์คนที่มาจากแต่ละประเทศผ่านไปทำให้พบว่าสิ่งที่พวกเขาพูดถึงคือพืชชนิดเดียวกัน เพียงแต่มีชื่อเรียกในแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน วิธีการใช้ก็ไม่เหมือนกัน สุดท้ายจึงต้องใช้ชื่อวิทยาศาสตร์ และใส่ชื่อเรียกของแต่ละประเทศกำกับไว้ด้วย ราวกับว่ากำลังเรียนวิชาทางด้านพฤกษศาสตร์
คุณเลี่ยวจ่วนยุ่น (廖轉運) จากอินโดนีเซียได้นำขิงทรายที่เธอชอบมาให้ดู ขิงทรายมีความแตกต่างจากขิงแก่และขิงอ่อนที่พบเห็นบ่อยๆ ในไต้หวัน เมื่อนำขิงทรายมาผ่าออกจะเห็นเนื้อสีขาว ชิมดูจะพบว่าไม่เผ็ดร้อนเหมือนขิงแก่ไต้หวัน แต่จะมีกลิ่นของน้ำมันหอมสะระแหน่ คุณเลี่ยวจ่วนยุ่นบอกว่าขิงทราย ไม่เพียงแต่นำมาใช้ประกอบอาหารได้หลายอย่างแต่ยังใช้เป็นยาได้อีกด้วย ซึ่งคุณแม่ของเธอมักจะนำมาบดจนละเอียด แล้วนำมาทาที่หน้าท้องเพื่อลดอาการท้องแน่นท้องเฟ้อ ส่วนคุณเฝิงชุนเยี่ยน (馮春燕) ซึ่งมาจากเมียนมาร์ได้พูดถึงตะไคร้ที่คุณพ่อของเธอชื่นชอบเป็นพิเศษ โดยบอกว่าหลังจากนำตะไคร้มาต้มกับน้ำแล้ว คุณพ่อของเธอยังนำต้นตะไคร้นั้นมาเคี้ยวด้วยเพราะเสียดายไม่อยากทิ้งไปเปล่าๆ
นอกจากเรื่องราวของวิธีการใช้เครื่องเทศชนิดต่างๆ ที่หยิบยกมาพูดคุยแล้วยังมีเรื่องราวเกี่ยวกับความคิดถึงที่มีต่อบ้านเกิดของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ด้วย บ่อยครั้งที่พวกเธอเล่าถึงความทรงจำเกี่ยวกับเครื่องเทศ ขอบตาจะเริ่มแดงเพราะนึกย้อนไปถึงตอนที่มีอายุ 10 กว่าปี ซึ่งยังเป็นเด็กหญิงตัวน้อยคลอเคลียอยู่ข้างกายแม่ ในวัยเด็กหลังเลิกเรียนเมื่อกลับถึงบ้านจะรีบวางกระเป๋าหนังสือ และจะช่วยแม่ตำเครื่องแกง คุณหยวนซวี่เหวินเล่าด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวาพร้อมกับบอกว่า เธอรู้สึกชื่นชมในความกล้าของผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เหล่านี้ที่ต้องทิ้งบ้านเกิดมาเผชิญชีวิตใหม่ และรู้สึกเห็นใจที่พวกเขาต้องแบกรับภาระหนักอันหนักอึ้งในไต้หวัน
บรรดาสาวๆ ผู้มีจิตใจเอื้ออารีเหล่านี้มักจะเล่าถึงความเอร็ดอร่อยของอาหารในบ้านเกิดแบบน้ำไหลไฟดับจนคุณหยวนซวี่เหวินถึงกับกล่าวว่าในระหว่างการพูดคุยสัมภาษณ์นั้นถ้าไม่ใช่ฟังจนหิวก็ซาบซึ้งจนต้องร้องไห้
การสนทนาข้ามวัฒนธรรม
คุณหยวนซวี่เหวินพูดถึงการข้ามวัฒนธรรมไว้ว่า การข้ามวัฒนธรรมเป็นสิ่งที่น่าสนใจแต่ก็เป็นเรื่องที่มีความซับซ้อนมาก ลองทบทวนดูจะเห็นจุดบอดทางวัฒนธรรมของเราเองอยู่หลายข้อ เช่น ไต้หวันเคยชินกับการใช้เหล้าขาวดับกลิ่นคาว แต่เนื่องจากเป็นข้อห้ามทางศาสนาของชาวมุสลิมจึงใช้สุราไม่ได้ พวกเขาจึงเปลี่ยนมาใช้ขมิ้นบดละเอียดผสมกับเครื่องเทศแล้วนำมาทาบนตัวปลา ไก่ดำไต้หวันถือว่าเป็นอาหารบำรุง แต่ชาวอินโดนีเซียใช้ไก่ดำในการประกอบพิธีกรรม ชาวไต้หวันรับประทานผักบุ้งโดยการหั่นเป็นท่อนแล้วนำไปผัดกับกระเทียม แต่ชาวเวียดนามจะเด็ดใบออก จากนั้นใช้มีดซอยเป็นเส้น แล้วนำมากินแบบสลัด ความแตกต่างเหล่านี้เองที่ถูกขุดคุ้ยออกมาจากการสนทนากัน
สิ่งที่สร้างความประทับใจมากที่สุดก็คือ วิธีการเตรียมเครื่องเทศ ชาวไต้หวันชอบใช้ต้นหอม ขิง กระเทียม ผัดกับน้ำมัน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะตบให้แหลกหรือซอยให้ละเอียดจากนั้นใส่ลงกระทะ แต่ครอบครัวของชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แทบทุกบ้านจะใช้วิธีตำด้วยสากและครก ตำจนแหลกแล้วจึงนำมาปรุงอาหาร และถ้าถามว่าทำไมไม่ใช้เครื่องบดปั่น ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่จะแสดงท่าทีที่ไม่เห็นด้วยออกมาทันที คุณเฝิงชุนเยี่ยนที่มาจากเมียนมาร์ และคุณเลี่ยวจ่วนยุ่นที่มาจากอินโดนีเซีย ถึงกับพูดพร้อมกันว่า ได้ผลไม่เหมือนกัน จะต้องใช้สากตำ มิฉะนั้นจะไม่ได้รสชาติแบบดั้งเดิม
สิ่งน่าสนใจภายนอกพิพิธภัณฑ์
นอกจากการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับเครื่องเทศแล้ว ทางพิพิธภัณฑ์ได้ใช้พื้นที่ในบริเวณเขตสวนหนานเหมินซึ่งอยู่ด้านนอกของตึกสีขาว ปลูกเครื่องเทศเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หลายอย่าง เช่น ลักซา ผักชีฝรั่ง ใบเตย มะกรูด ผักก้านก่อง และตะไคร้ เป็นต้น เพื่อให้ผู้ที่เข้าชมนิทรรศการได้สัมผัสกับพืชผักสมุนไพรที่มีคุณลักษณะพิเศษและมีกลิ่นหอมที่เป็นเอกลักษณ์ด้วยตนเอง
ทางพิพิธภัณฑ์ยังได้จัดกิจกรรมท่องเที่ยวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในไต้หวันในช่วงสุดสัปดาห์ โดยให้ผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่เป็นมัคคุเทศก์พาชมถนนเมียนมาร์ ที่ถนนหัวซิน(華新街) เขตจงเหอ ของนครนิวไทเป ถนนอินโดนีเซีย ที่ถนนจงเสี้ยวซี(忠孝西) และถนนฟิลิปปินส์ ที่ถนนหมินเฉวียนซี(民權西) ของกรุงไทเป เพื่อให้พวกเขาได้เล่าเรื่องราวของตัวเอง และยังมีทูตบริการผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ในฐานะเป็นผู้นำชมนิทรรศการในระหว่างสัปดาห์ในบางวัน โดยพวกเธอจะแต่งกายด้วยชุดประจำชาติพร้อมทั้งแนะนำสิ่งที่เกี่ยวกับเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
คุณหงซื่อยิ่วบอกว่า หลังจากที่เสร็จสิ้นการจัดนิทรรศการพิเศษเรื่อง รสชาติแห่งบ้านเกิด กลิ่นรสจากอาเชียอาคเนย์ที่พิพิธภัณฑ์ไต้หวันแห่งชาติแล้ว จะตระเวนหมุนเวียนไปจัดนิทรรศการดังกล่าวในเมืองอื่นๆ ของไต้หวันรวมถึงหมู่เกาะรอบนอก เพื่อให้ชาวไต้หวันรู้จักวัฒนธรรมเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มากขึ้น
เครื่องเทศถือกำเนิดขึ้นในอินเดียและกระจายไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ผนวกเข้ากับสภาพดินฟ้าอากาศและค่านิยมของประชาชนของแต่ละประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็นความหลากหลายและเป็นอาหารที่มีความน่าสนใจ ภายหลัง เครื่องเทศเหล่านี้ยังได้ติดตามผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่มาถึงไต้หวัน โดยจะพบเห็นได้ตามระเบียงบ้าน หรือตามมุมสวนในชุมชน เป็นสิ่งที่พี่น้องชาวเอเชียอาคเนย์ได้คลายความคิดถึงบ้าน และยังได้เพิ่มรสชาติความเปรี้ยว หวาน ขม เผ็ดของอาหารไต้หวันในอีกแบบหนึ่ง
บรรดาผู้ตั้งถิ่นฐานใหม่ที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมายังไต้หวัน ค่อยๆ ปรับตัวเข้ากับวัฒนธรรมไต้หวัน สร้างคนรุ่นที่ 2 ให้กลายเป็นสมาชิกคนสำคัญที่ขาดไม่ได้ในสังคม ชาวไต้หวันเองจึงควรที่จะสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนๆชาวเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และทำความเข้าใจถึงวัฒนธรรมอันหลากหลายที่น่าสนใจเหล่านี้
เพราะว่าผู้ที่ลงรากปักฐานแล้ว ก็นับเป็นคนบ้านเดียวกัน