ดินตะกอนแปลงร่างกลายเป็นวัสดุก่อสร้างแนวใหม่
เขื่อนอากงเตี้ยนที่อยู่ในเขตเยี่ยนเฉา นครเกาสง คือจุดเริ่มต้นในการก่อตั้งธุรกิจของกัวเหวินอี้ ในทางธรณีวิทยาแล้ว ผืนดินของไต้หวันถือว่ายังเยาว์วัยและยังมีความกร่อนอยู่ ทุกครั้งที่ฝนตกหนักจะพัดพาเศษดินทรายจากโลกพระจันทร์ หรือ Moon World ซึ่งมีลักษณะเป็นภูเขาหินที่ถูกฝนและน้ำกัดเซาะเป็นเวลานับล้านปีทำให้เกิดรูปทรงแปลกตาและมีพื้นผิวคล้ายดวงจันทร์ให้ไหลลงไปจมอยู่ใต้อ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนจนทำให้ไม่สามารถกักเก็บน้ำได้อย่างเต็มที่
ที่นี่ไม่ใช่ที่เดียวที่มีปัญหานี้ ในไต้หวันแต่ละปีจะมีดินตะกอนมากถึง 4 ล้านตัน ที่สร้างความปวดหัวให้กับหน่วยงานชลประทานของประเทศ เมื่อ 10 กว่าปีก่อน กัวเหวินอี้ศึกษาอยู่ในหลักสูตรดุษฎีบัณฑิตในคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโยธาของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงกง (National Cheng Kung Univer¬sity, NCKU) โดยมี ศ.หวงจงซิ่น (黃忠信) เป็นอาจารย์ที่ปรึกษา ซึ่งได้รับการมอบหมายจากคณะกรรมการพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ (ปัจจุบันคือ คณะกรรมการพัฒนาแห่งชาติ) ในการทำวิจัยค้นหาแนวทางที่จะนำเอาดินตะกอนจากก้นเขื่อนมาประยุกต์ใช้ เพื่อนำเอาสิ่งไร้ประโยชน์นี้กลับมาใช้งานใหม่
ทีมวิจัยได้ประสบความสำเร็จในการค้นพบเทคนิคการเปลี่ยนแปลงคุณสมบัติของดินตะกอนก้นเขื่อนเหล่านี้ ให้กลายเป็นน้ำยาซีเมนต์ที่มีคุณสมบัติกันน้ำและถ่ายเทอากาศได้ดี รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการป้องกันน้ำรั่วซึมที่กำแพงได้เป็นอย่างดี จึงมีการนำไปใช้ในการก่อสร้างและตกแต่งบ้าน หลังจบการศึกษาจาก NCKU กัวเหวินอี้จึงตัดสินใจใช้ความรู้ที่ร่ำเรียนมา ก่อตั้งบริษัทของตัวเอง พร้อมตั้งแบรนด์ “Lotos” ขึ้น ซึ่งถือเป็นบริษัทแรกที่แตกตัว (Spin-Off) ออกจาก NCKU ด้วย
กัวเหวินอี้ยอมรับว่า การปรับเปลี่ยนตัวเองจากการทำวิจัยไปสู่การก่อตั้งธุรกิจเป็นอะไรที่ไม่ง่ายเลย การทำการตลาดเป็นสิ่งที่ยากเย็นกว่าการค้นคว้าวิจัยเทคโนโลยีมากนัก จนทุกวันนี้ ธุรกิจของเขาผ่านร้อนผ่านหนาวมาเป็นเวลา 13 ปีแล้ว หลังจากผ่านช่วง 7 ปีแรก บริษัทจึงเริ่มมีผลกำไร แต่เมื่อถูกถามว่า ทำไมไม่ขาย Know-how ให้กับเอกชนรายอื่นไปเสีย เขาตอบอย่างไม่ลังเลเลยว่า “ต้องทำเอง ถึงจะสามารถรักษาจิตวิญญาณของแบรนด์เอาไว้ได้ ในการทำธุรกิจทั่วไป เมื่อลงทุนไปแล้วก็ต้องหวังผลกำไร หากผ่านไปหลายปียังไม่มีกำไร ก็จะพับฐานเลิกทำไปแล้ว” ก่อนที่เขาจะแตะเบาๆ ไปที่ภาพวาดบนกำแพงแล้ว
กล่าวอย่างอารมณ์ดีว่า “ผมถึงได้บอกว่า ภาพภาพนี้มีความสำคัญกับผมมาก”
เชื่อว่าคนไต้หวันส่วนใหญ่ต่างก็เคยเห็นร่องรอยการผุกร่อนบนกำแพงที่เกิดจากความชื้น ซึ่งถูกเรียกว่า “ปี้อ๋าย” ที่แปลตรงตัวว่ามะเร็งผนัง แต่จริงๆ แล้วเจ้ามะเร็งที่ว่านี้ไม่ใช่ผนังเป็นมะเร็ง แต่เป็นเหมือนผนังที่มีโรคผิวหนังมากกว่า เนื่องจากการก่อสร้างอาคารในปัจจุบันจะมีการใช้วัสดุปูนซีเมนต์เป็นจำนวนมาก ซึ่งปูนซีเมนต์มีคุณสมบัติดูดความชื้น แต่ไม่ระบายน้ำออกมา ประกอบกับสภาพภูมิอากาศของไต้หวันที่มีความชื้นสูง จึงส่งผลให้เกิดการผุกร่อนตามผนังขึ้นโดยทั่วไป อันเป็นปัญหาที่เข้าใจกันว่าแก้ไขยาก หากแต่ถ้าผสมน้ำยา Lotos ไว้ในปูนที่จะฉาบผนังแล้ว ก็สามารถแก้ไขปัญหาได้จากต้นตอเลยทีเดียว
ในช่วงแรกของการก่อตั้งธุรกิจ กัวเหวินอี้เคยทดลองตลาดด้วยการติดต่อกับบริษัทก่อสร้างระดับแนวหน้า หากแต่ผู้ประกอบการในรูปแบบเดิมๆ ส่วนใหญ่จะมีแนวคิดค่อนข้างอนุรักษ์นิยม ยิ่งเป็นบริษัทใหญ่ก็ยิ่งไม่สนใจที่จะทดลองวัสดุใหม่ๆ เขาจึงต้องเปลี่ยนแนวทาง หันมาทำเว็บไซต์ขายผ่านช่องทางออนไลน์ โดยมีกลุ่มผู้บริโภคทั่วไปเป็นกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ก่อนจะลงมือถ่ายทำวีดิทัศน์สอนการใช้งาน พร้อมทั้งเขียนบทความเพื่อตอบข้อสงสัยและช่วยผู้บริโภคในการแก้ปัญหาต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง
งานศิลปะจากดินโคลน ก้าวข้ามสู่แวดวงศิลปะ
หากถามกัวเหวินอี้ถึงเคล็ดลับที่ทำให้การก่อตั้งธุรกิจประสบความสำเร็จ เขาก็บอกตรงๆ ว่าไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย โดยสิ่งเดียวที่ยึดมั่นมาตลอดก็คือคุณภาพ
และเนื่องจากมีคุณภาพดีมาก จึงค่อยๆ ดึงดูดผู้บริโภคจนมีกลุ่มลูกค้าขาประจำเป็นจำนวนไม่น้อย โดยการทำการตลาดแบบแนะนำปากต่อปาก Word-of-mouth (WOF) ผ่านโซเชียลมีเดียจากหนึ่งกลายเป็นสิบจากสิบกลายเป็นร้อยจนค่อยๆขยายตลาดให้กว้างขึ้น
Nini-Mumu เป็นแบรนด์สินค้าของใช้ในชีวิตประจำวันที่ทำขึ้นจากปูนซีเมนต์ ผู้ก่อตั้งคือ คุณอู๋ลี่เหว่ย (吳立偉) ซึ่งเริ่มต้นจากการทำธุรกิจปลูกไม้อวบน้ำ ก่อนจะค่อยๆ ต่อยอดไปยังกระถางซีเมนต์ที่เป็นภาชนะซึ่งมีความเหมาะสมสำหรับใช้ในการปลูก และจากการที่ตัวเองชอบทำงานหัตถกรรมต่างๆ จึงได้ทดลองทำโดยใช้วัสดุจากหลายๆ แหล่ง ก่อนที่สุดท้ายจะถูกใจในสินค้าของ Lotos
Lotos Inside ตั้งอยู่ในนครไถหนาน ถือเป็นแหล่งรวมของบรรดาศิลปินที่ใช้ Lotos เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างสรรค์ผลงาน สตูดิโอของเหล่าศิลปินและช่างหัตถศิลป์ที่ตั้งอยู่ภายใน ต่างก็ช่วยแนะนำให้เราได้รู้จักอีกด้านหนึ่งที่เราไม่เคยรู้ของปูนซีเมนต์
กำแพงด้านหนึ่งที่ฉาบด้วยปูน Lotos ให้ความรู้สึกสไตล์ลอฟท์ ส่วนสินค้าของ Nini-Mumu ที่จัดวางอยู่ในโซนจัดแสดงผลิตภัณฑ์ ทำขึ้นจากปูน Lotos 3D ซึ่งมีทั้งแจกัน จานชงชา ที่วางสบู่ ใช้สีดำ ขาว และเทา เป็นโทนหลัก ก่อนจะผสมผสานด้วยเทคนิคพิเศษที่อู๋ลี่เหว่ยคิดค้นขึ้นเอง ทำให้เกิดเป็นลวดลายและผิวสัมผัสที่ไม่เหมือนใคร การใช้สีปูนมาสร้างความแปลกตาในสไตล์ Wabi-sabi ทำให้ดูแล้วมีความงดงามกว่าลายไม้ที่พิมพ์ลงไปบนจานชงชาหรือลวดลายต่างๆบนแจกันในแบบเดิมๆเป็นอย่างมาก
แปลงโฉมขยะเกษตร “เปลือกกระจับ” กลายเป็น “ถ่านกระจับ”
ก็เหมือนกับกำเนิดของ Lotos จุดเริ่มต้นของแรงผลักดันที่ทำให้เกิดเศรษฐกิจหมุนเวียนมักจะมาจากการที่เราไม่รู้จะจัดการกับขยะที่มีปริมาณมหาศาลได้อย่างไร
เปลี่ยนฉากมาที่เขตกวนเถียน ในนครไถหนาน ซึ่งเป็นแหล่งเพาะปลูกกระจับของไต้หวันกัน ช่วงนี้เข้าสู่ช่วงปลายของฤดูการเก็บเกี่ยวกระจับพอดี ในหมู่บ้านเล็กๆ อันสงบเงียบ เราจะได้เห็นภาพของเหล่าผู้สูงอายุที่นั่งล้อมวงปอกกระจับอย่างคล่องแคล่วอยู่ใต้อาคาร ด้วยความชำนาญของทุกคน เพียงไม่นานนัก ก็จะเห็นเปลือกกระจับกองพะเนินเป็นภูเขาเลากา
จากสถิติในแต่ละปี กวนเถียนจะมีผลผลิตกระจับมากถึง 6,500 ตัน ซึ่งในจำนวนนี้มีถึงประมาณ 500 ตันที่ใช้บริโภคในพื้นที่และเปลือกของกระจับที่ถูกปอกทิ้งก็จะกลายเป็นขยะจำนวนมากที่สร้างปัญหาให้กับผู้คนในท้องถิ่นสิ่งที่เหล่าเกษตรกรทำได้ก็มีเพียงแค่กองเอาไว้ข้างท้องนาหรือทิ้งลงไปในบึงขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งเมื่อเวลาผ่านไปนานเข้าก็จะมีกลิ่นเหม็นและมีหนอนแมลงเกิดขึ้นและภาพที่เห็นกันจนชินตาก็คือหลังจากฤดูเก็บเกี่ยวผ่านพ้นไปแล้วก็จะมีคนนำเปลือกที่เหลืออยู่นี้ไปกองและเผาทิ้งในทุ่งนาจนกลายเป็นควันขาวคลุ้งเต็มไปหมดซึ่งการเผาขยะจะก่อให้เกิดเป็นปัญหามลภาวะขึ้นมาอย่างแน่นอน
แสวงหาทางออกให้กับชุมชน
เมื่อ 5 ปีก่อน คุณเหยียนเหนิงทง (顏能通) ซึ่งเดินทางมารับตำแหน่งผู้อำนวยการเขตกวนเถียน เห็นว่า ตนพร้อมที่จะเป็นผู้จุดประกายในการแก้ปัญหาที่หมักหมมมานานของชุมชน ด้วยแนวคิดที่จะนำเอาเปลือกกระจับมาแปรรูปเป็นถ่านเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ต่อไป
คุณเหยียนเหนิงทง ที่จบการศึกษาจากคณะวิศวกรรมศาสตร์ สาขาวิศวกรรมเครื่องกลของมหาวิทยาลัยแห่งชาติเฉิงกง (NCKU) จึงมีแนวคิดที่อยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงในแบบของเหล่าวิศวกร ทำให้เขานำเอาถ่านเปลือกกระจับมาทำการทดลองในรูปแบบต่างๆ
บรรดาขวดและกระป๋องที่วางอยู่ด้านหลังโต๊ะทำงาน คือสิ่งที่เกิดขึ้นจากการที่เหยียนเหนิงทงนำเอาถ่านชีวภาพแบรนด์ต่างๆ มาทำการทดลอง เช่นเดียวกับบรรดาสารพัดพืชที่ปลูกในน้ำจำนวนไม่น้อย ซึ่งถูกนำมาใช้ในการตกแต่งสถานที่ คุณเหยียนเหนิงทงยกต้นปาล์มจีนที่ปลูกอยู่ขึ้นมาอย่างอารมณ์ดี เรามองผ่านขวดแก้วเห็นเส้นของรากที่เกี่ยวกระหวัดพันไปมาได้อย่างชัดเจน และที่ด้านล่างสุดของกระถางมีถ่านเปลือกกระจับวางอยู่เป็นชั้นๆ และจากการที่ถ่านเปลือกกระจับสามารถดูดซับตะกอนในน้ำได้เป็นอย่างดี ทำให้น้ำในขวดดูใสเหมือนเป็นน้ำใหม่อยู่ตลอดเวลา แม้จะไม่เปลี่ยนน้ำเลยเป็นเวลาหลายปีก็ตาม
“ผมหวังว่าชุมชนของเราก็เหมือนกับต้นไม้ต้นนี้ ที่สามารถเติบโตจาก “ตรงนี้” มาจนถึง “ตรงนี้”” ได้ เหยียนเหนิงทงชี้ไปที่ถ่านเปลือกกระจับที่อยู่ด้านล่าง ก่อนจะชี้ไปที่ใบไม้เขียวชอุ่มที่อยู่ด้านบน
เขาอธิบายว่า ที่ผ่านมา การผลักดันการพัฒนาชุมชนของรัฐบาลมักจะเน้นการจัดกิจกรรมหรือโครงการเป็นครั้งคราว มากกว่าการเสริมสร้างชุมชนทั้งระบบ ซึ่งผลที่ได้รับมักจะเป็นเพียงชั่วครั้งชั่วคราว หากแต่ในทุกวันนี้ ก็ได้ทดลองที่จะให้ท้องถิ่นเริ่มต้นจากการสร้างสรรค์แนวทางในการพัฒนาของตัวเอง จึงหวังว่าถ่านเปลือกกระจับที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นมาไม่น้อยนี้ จะสามารถช่วยให้ชุมชนค้นพบหนทางในการสร้างสรรค์เศรษฐกิจของตัวเองได้อย่างยั่งยืนสืบไป
ทุกฝ่ายร่วมแรงร่วมใจอย่างเต็มที่
ภายใต้การผลักดันอย่างเต็มที่ของเหยียนเหนิงทง ชุมชนที่เคยเงียบเหงามาตลอดก็มีความคึกคักขึ้นในทันที เมื่อถึงฤดูเก็บเกี่ยวกระจับ ผู้สูงอายุในชุมชนจะรับหน้าที่ปอกกระจับ ตากเปลือกให้แห้ง แล้วนำมารวมไว้ในที่เดียวกัน ก่อนจะส่งไปยังเตาเผา และหลังจากดำเนินโครงการมาเป็นเวลาหลายปี ก็สามารถรวบรวมเปลือกกระจับได้มากถึงร้อยละ 60 แล้ว
ในส่วนของเทคนิคสำคัญในการทำถ่านเปลือกกระจับที่ ศ.หลินหงผิง (林弘萍) อาจารย์พิเศษของ NCKU ซึ่งเป็นผู้วิจัยและพัฒนาขึ้นมา ได้อธิบายให้เราฟังว่า ในตอนแรก ต้องนำเปลือกกระจับไปตากแดดจนมีความชื้นเหลือเพียงประมาณร้อยละ 10 จากนั้นจะนำไปใส่ในถังเหล็ก และเผาด้วยความร้อนสูง 1,000°C เป็นเวลา 30 นาที ก่อนจะถูกพรมน้ำเพื่อลดอุณหภูมิในทันที เปลือกกระจับที่เดิมทีจะมีสีแดงจางๆ เมื่อผ่านการเผาแล้วก็จะเปล่งประกายสีดำสดใสราวกับเป็นทองดำ
หลินหงผิงอธิบายว่า การเผาถ่านเปลือกกระจับต้องให้ความพิถีพิถันในทุกขั้นตอน ไม่ว่าจะเป็นความชื้นของเปลือกกระจับ จำนวนช่องระบายอากาศของถังเหล็ก ความกว้างของปล่องควัน รวมไปจนถึงเวลาที่ใช้ในการเผา เป็นต้น ต่างก็ต้องมีการคำนวณอย่างละเอียด ดังนั้น แค่เพียงการทดลองความเปลี่ยนแปลงของตัวแปรต่างๆ เพื่อให้ได้ผลที่ดีที่สุดก็ต้องใช้เวลานานถึงหนึ่งปีครึ่งเลยทีเดียว
เขาย้ำว่า ในเปลือกกระจับมีองค์ประกอบของไม้ในปริมาณสูง จึงเหมาะเป็นอย่างยิ่งที่จะนำมาใช้เป็นวัตถุดิบในการทำถ่านชีวภาพ เปลือกกระจับที่ผ่านการเผาแล้ว จะมีพื้นที่ผิวจำเพาะ (Specific Surface Area) สูงมาก แค่เพียงเปลือกกระจับจำนวน 1 กรัม ก็จะมีพื้นที่ผิวจำเพาะเท่ากับประมาณครึ่งหนึ่งของสนามบาสเก็ตบอลเลยทีเดียว ทำให้มีคุณสมบัติในการดูดซับได้ดี นอกจากใช้ดูดความชื้นและดูดกลิ่นได้แล้ว ยังสามารถนำมาใช้ในการปรับปรุงคุณภาพดินและคุณภาพน้ำได้ด้วย
ในการใช้งาน เราสามารถที่จะนำมาเป็นปุ๋ยในการทำการเกษตร เมื่อใส่ลงไปในดิน จะทำให้ดินมีความอุดมสมบูรณ์มากขึ้น โดยยังมีเกษตรกรเลี้ยงไก่ที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่นำไปบดและผสมกับอาหาร เพื่อช่วยเพิ่มภูมิต้านทานให้กับไก่ รวมทั้งยังมีผู้ประกอบการในอุตสาหกรรมสิ่งทอแสดงความสนใจที่จะนำถ่านเปลือกกระจับไปผสมกับสิ่งทอเพื่อผลิตสินค้าที่มีคุณสมบัติในการดูดซับเหงื่อและดูดกลิ่นได้
ด้วยความที่มีโอกาสจะพัฒนาทางการตลาดต่อไปได้อีก จึงดึงดูดให้กลุ่มคนรุ่นใหม่สนใจก่อตั้งธุรกิจ เพื่อนำไปต่อยอดผลิตสินค้าในเชิงพาณิชย์เป็นจำนวนไม่น้อย ถือเป็นอีกหนึ่งประจักษ์พยานของผลสัมฤทธิ์ในการเปลี่ยนขยะให้กลายเป็นทองคำ