การเอาแต่ใจและหาที่พึ่งในวัยเด็ก
ครอบครัวของเซี่ยเพ่ยอวี๋มองว่า อาชิวเปรียบเสมือนคนในครอบครัว ไม่เพียงแต่ให้นั่งร่วมโต๊ะอาหาร ยังปฏิบัติต่อเธอเสมือนเป็นลูกสาวอีกคนของครอบครัวด้วย อาม่าจะซื้อเสื้อผ้าให้ คุณแม่พาเธอไปทำผม หรือแม้กระทั่งยามอาชิวป่วย คุณแม่ก็จะเป็นคนพาเธอไปให้น้ำเกลือที่โรงพยาบาลเอง แต่ในทางกลับกัน เซี่ยเพ่ยอวี๋ซึ่งเป็นคนที่ใช้เวลาอยู่ใกล้ชิดกับอาชิวมากที่สุด ตอนเด็กๆ ดื้อมาก ชอบพูดจาไม่ดีใส่อาชิว และชอบกลั่นแกล้งพี่เลี้ยงผู้นี้ด้วย
“เมื่อก่อนเวลาอาชิวฟังภาษาจีนไม่รู้เรื่อง ฉันก็จะโกรธ มีอยู่ครั้งหนึ่งตอนกินข้าว ฉันปีนขึ้นไปเกาะหลังอาชิว ไม่นึกว่าเธอจะลุกขึ้น ทำให้ฉันตกลงมา” เซี่ยเพ่ยอวี๋เล่าว่าพฤติกรรมที่ตนทำต่ออาชิวนั้น อาจเป็นการเลียนแบบคุณพ่อของเธอ พ่อของเธอมีบุคลิกและอุปนิสัยที่หยาบกระด้าง และมักจะพูดกับอาชิวบ่อยครั้งว่า “ยังไงซะ วันหลังเธอก็ต้องจากไปอยู่แล้วนี่!”
ถึงแม้ว่าเซี่ยเพ่ยอวี๋จะชอบอารมณ์เสียดุใส่อาชิว แต่ในใจจริงแล้วรู้สึกว่าอาชิวเป็นที่พึ่งมากกว่าแม่แท้ๆ ของตนเสียอีก เวลาปวดปัสสาวะตอนกลางคืน เธอมักจะเดินไปที่ห้องของน้องชายเพื่อเรียกให้อาชิวพาเธอไปเข้าห้องน้ำ แทนที่จะรบกวนคุณแม่ที่อยู่ข้างๆ ตอนสมัยเรียนชั้นอนุบาล เธอเคยถูกเพื่อนสงสัยว่าเป็นขโมยและทุกคนต่างไม่เชื่อเธอ แต่เธอเชื่อว่าถ้าอาชิวยังอยู่ไต้หวันจะต้องเข้าข้างเธออย่างแน่นอน เพราะอาชิวจะยอมรับเธอได้ทุกอย่างโดยไม่มีเงื่อนไข
ให้ความเคารพพี่เลี้ยงทุกคนที่ตั้งใจทำงาน
“หลังจากฉันโตขึ้น เวลานอนหรือใช้เวลาอยู่กับตัวเองคนเดียว มักจะคิดถึงพี่อาชิวอยู่บ่อยๆ” เซี่ยเพ่ยอวี๋เติบโตที่เมืองจีหลง และไปเรียนหนังสือเพียงลำพังที่นครไทจง เวลาอยู่คนเดียวยิ่งทำให้คิดถึงอาชิวได้ง่าย จนกระทั่งเธอได้เห็นเรื่องราวของสวีจื่อหานกับดวีจึงตัดสินใจว่า ไม่ว่ายังไง เธอก็จะต้องพบอาชิวอีกครั้งให้ได้
จากการที่ฟ่านเฉ่าหยุน (范草雲 Pham Thao Van) เน็ตไอดอลชื่อดังชาวเวียดนาม ช่วยแชร์โพสต์เรื่องนี้ ทำให้เพียงไม่ถึงหนึ่งวันก็ตามหาอาชิวเจอจนได้
ระหว่างที่วิดีโอคอลคุยกัน ความทรงจำของอาชิวที่มีต่อครอบครัวตระกูลเซี่ย ดูเหมือนจะมีมากกว่าเซี่ยเพ่ยอวี๋กับคุณแม่ที่อยู่หลังกล้องเสียอีก อาชิวจำได้ว่า ไปไหว้พระกับอาม่าแถววัดหมิงเยว่ จำได้ว่าพาเซี่ยเพ่ยอวี๋ไปเดินเล่นริมแม่น้ำเถียนเหลียว หลังจากอาชิวกลับเวียดนามไปแล้ว ยังสวมชุดเดรสลายฮาวส์ทูธ (Houndstooth) ที่นายจ้างซื้อให้ไปร้องคาราโอเกะกับเพื่อนๆ อยู่เสมอ ในตอนนี้ หลังจากข่าว “ตามหาแม่คนที่สอง” กลายเป็นข่าวดังขึ้นมา เพื่อนบ้านต่างเข้ามาสอบถามเธอว่า จะเดินทางไปพบกับเซี่ยเพ่ยอวี๋ที่ไต้หวันเมื่อใด จู่ๆ อาชิวก็กลายเป็นคนดังขึ้นมาโดยไม่ทันตั้งตัว
เพราะอาชิว ทำให้เซี่ยเพ่ยอวี๋ที่อยู่โดดเดี่ยวตามลำพังได้หวนกลับมาสัมผัสความทรงจำอันแสนอบอุ่น และมีความสนใจใคร่รู้เรื่องราวเกี่ยวกับเวียดนามมากขึ้น ตอนเรียนวิชาภูมิศาสตร์สมัยชั้นม.ปลาย เมื่อได้ยินชื่อบ้านเกิดของอาชิว เธอมักจะเกิดความรู้สึกคุ้นเคยและคาดหวังอยู่เสมอ และเป็นเพราะอาชิว จึงทำให้เธอเกิดความรู้สึกเห็นอกเห็นใจต่อแรงงานต่างชาติที่ต้องประสบกับชะตากรรมเลวร้าย “ไม่ใช่ว่าแรงงานทุกคนจะได้รับการปฏิบัติที่ดี เพราะบางคนยังมีแนวคิดแบบเจ้าคนนายคนอยู่” และในโอกาสจากการ “ตามหาแม่คนที่สอง” ในครั้งนี้ ทำให้เธออยากจะย้ำเตือนกับผู้ปกครองที่จ้างผู้ช่วยงานบ้านต่างชาติไว้ที่บ้านว่า ต้องระมัดระวังพฤติกรรมของตนเองให้ดี เพื่อมิให้ลูกหลานเลียนแบบทัศนคติที่ไม่เหมาะสม
ให้ความสำคัญต่อความต้องการและความรู้สึกของแรงงานต่างชาติ
เลี่ยวหยุนจาง (廖雲章) ผู้อำนวยการของเว็บไซต์ Opinion ซึ่งเป็นผู้ริเริ่มโครงการ “ตามหาแม่คนที่สองที่หายไป” ช่วยเผยแพร่เรื่องราวของสวีจื่อหานและเซี่ยเพ่ยอวี๋ จากเรื่องนี้ทำให้เธอฉุกคิดได้ว่า คนไต้หวันโดยส่วนใหญ่ให้คุณค่ากับแรงงานทางอารมณ์ (emotional labor) ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น ทั้งที่พวกเขาทำหน้าที่เป็นที่พึ่งคนสำคัญที่สุดของผู้ได้รับการดูแลภายในบ้าน วรรณกรรมเรื่อง “เกี่ยวกับความรัก” ซึ่งได้รับรางวัลที่ 1 จากการประกวดวรรณกรรมแรงงานต่างชาติประจำปี 2018 โดยตัวละครเอกเป็นผู้อนุบาลดูแลเด็กผู้พิการ ทำหน้าที่ดูแลด้วยความเอาใจใส่เป็นเวลานานหลายปี จนในที่สุดเด็กก็สามารถพูดได้ คำแรกที่เขาพูดได้กลับไม่ใช่คำว่าแม่ แต่เป็น “น้า” (อาอี๋) ที่เด็กใช้เรียกผู้อนุบาลนั่นเอง
เลี่ยวหยุนจางกล่าวว่า นอกจากไต้หวันจะมีกรณี “ตามหาแม่คนที่สอง” แล้ว ยังมีเด็กอาหรับและเนเธอร์แลนด์ที่เดินทางไปยังสถานทูตอินโดนีเซีย เพราะต้องการอยากรู้สถานภาพปัจจุบันของพี่เลี้ยงต่างชาติ ไม่ว่าประเทศใดๆ ก็ตาม เมื่อเกิดประเด็นเรื่อง “การพรากจากกัน” ก็ควรจะต้องใช้เวลาจัดการกับปัญหานี้ให้ดี เพื่อมิให้เกิดความเสียใจและมีบาดแผลติดอยู่ในจิตใจของเด็ก ในอนาคต เซี่ยเพ่ยอวี๋วางแผนจะสร้างแพลตฟอร์มออนไลน์ขึ้น เพื่อรวบรวมเรื่องราวประสบการณ์ที่คล้ายคลึงกันของคนอื่นๆ เพื่อให้การอุทิศตนในการทำงานของแรงงานต่างชาติที่ไร้เสียงได้รับการยอมรับมากขึ้น
“พวกเขาไม่ใช่ของใช้ แต่เป็นคนในครอบครัว” เลี่ยวหยุนจางมองว่า นี่เป็นโอกาสดีที่ชาวไต้หวันจะได้ตระหนักถึงเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างนายจ้างกับแรงงานอาเซียน ไม่ว่ารัฐบาลหรือประชาชนก็ตาม ควรจะมีความเข้าใจว่า แรงงานต่างชาติก็มีชีวิตจิตใจเหมือนกัน ไม่ใช่คิดว่าแค่จ่ายเงินเดือนให้ก็พอแล้ว แต่จะต้องใส่ใจต่อความรู้สึกของเขาด้วย ในอดีตที่ผ่านมา เคยมีนายจ้างที่ช่วยเหลือผู้ช่วยงานบ้านชาวฟิลิปปินส์ด้วยการลงทุนเปิดร้านอาหารให้ เพื่อช่วยให้เขาสามารถอาศัยอยู่ในไต้หวันต่อไปได้ เลี่ยวหยุนจางจึงหวังว่า ในอนาคต เรื่องราวในลักษณะนี้จะเกิดขึ้นอีกมากขึ้นเรื่อยๆ แรงงานอาเซียนจะได้รับความเคารพให้เกียรติและความรัก แม้อยู่ไกลบ้านก็ตาม